“Benz Beantown” : ดนตรีคือจิตวิญญาณที่ไม่สามารถโกหกคนฟังได้ | Sanook Music

“Benz Beantown” : ดนตรีคือจิตวิญญาณที่ไม่สามารถโกหกคนฟังได้

“Benz Beantown” : ดนตรีคือจิตวิญญาณที่ไม่สามารถโกหกคนฟังได้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ด้วยอายุเพียง 27 ปี เด็กหนุ่มนามว่า เบนซ์-ปริยวิศร์ อัจฉริยะฉาย ดูเหมือนจะมีบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกินวัยอยู่ไม่น้อย

เบนซ์ ... คือทายาทเพียงหนึ่งเดียวของนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ทชื่อดังที่ภูเก็ต ซึ่งปัจจุบันก็ช่วยสืบทอดกิจการของครอบครัวอยู่เช่นกัน

เบนซ์ ... คืออดีตผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอล ภูเก็ต เอฟซี

เบนซ์ ... คือศิลปินเพลงที่อยู่ในวงการมาแล้ว 6-7 ปีในนาม Benz Beantown

Benz Beantown

Benz Beantown

 

แน่นอนว่า Sanook! Music มุ่งหน้าขุดเจาะลงไปยังถนนสายดนตรีของ Benz Beantown ที่ไม่ได้สวยหรูอย่างที่ใครหลายคนคิด ช่วงเวลาที่ผ่านมากับ Beantown Project ที่ เบนซ์ ทำร่วมกับเพื่อนพี่น้องก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับกันตามตรงว่ายังไม่สามารถก้าวไปสู่คนฟังในวงกว้างได้เสียที

มาในวันนี้ ก้าวเดินครั้งใหม่ของ Benz Beantown เริ่มชัดเจนขึ้น กับการเข้าสู่อ้อมอกค่ายสนามหลวงมิวสิก พร้อมปล่อยซิงเกิลที่ชื่อ “Your Love Song” กับแนวป็อปแจ๊ซที่แตกต่างไปจากผลงานเดิมๆ ของเขาที่มักจะเป็นฮิปฮอปหรือโซล นอกจากเราจะชวนคุยเบื้องลึกเบื้องหลังของเพลงๆ นี้แล้ว เรายังต่อยอดไปถึงเรื่องราวของดนตรีแจ๊ซซึ่งไม่ได้ติดลำดับต้นๆ แห่งความนิยมของนักฟังเพลงชาวไทยแม้แต่น้อย และหากว่ามีคนมาสบประมาทว่า ผลงานเพลงก็เป็นแค่ “ของเล่นคนรวย” เช่นเขา เขาจะมีวิธีพิสูจน์ตัวเองอย่างไร ไปอ่านและทำความรู้จักหนุ่มไฟแรงคนนี้ให้มากขึ้นกัน

Benz Beantown

ก่อนหน้านี้หลายคนจดจำ Benz Beantown ได้ในฐานะแร็ปเปอร์ ทว่าในซิงเกิลล่าสุด “Your Love Song” การแร็ปกลับหายไป?

อันที่จริงผมเริ่มจากสายร้อง การเป็นนักร้องมาก่อน ตั้งแต่ตอน ม.5 แต่ตอนที่ผมไปอยู่บอสตัน มันเป็นช่วงที่ผมทำ Beantown Project กับพี่นัท (ณัฐณี ศิริลัทพร) ซึ่งเขาเป็นนักร้องสายโซล ผมก็เลยแร็ปขึ้นมาเหมือนกับทำให้เพลงมันครบองค์ประกอบ แต่ก็เป็นช่วงที่ศึกษาดนตรีฮิปฮอปด้วยแหละ ก็เลยลองทำดู จริงๆ แล้วผมมองตัวเองว่าเป็นนักร้องมากกว่านะ ไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นแร็ปเปอร์ เพราะผมรู้สึกว่า เวลาผมร้องตอนเล่นสด ผมสื่อให้คนฟังได้มากกว่าแร็ป แต่ก็ไม่ทิ้งการแร็ปไปไหนหรอก ใครจะมองอย่างไรก็แล้วแต่เขา บางคนก็ชอบที่ผมแร็ป บางคนก็ชอบที่ผมร้อง (หัวเราะ)

1-2 ปีให้หลังมานี้เป็นปีทองของฮิปฮอปและแร็ปเปอร์เลยนะ แต่คุณกลับเลือกจะไปอีกทางหนึ่ง?

(หัวเราะ) คือผมอาจจะโชคร้ายนะ หรืออาจจะโชคดีก็ได้ มันอาจจะยังไม่ถึงเวลาของผม ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่เพลงในอัลบั้มนี้ผมทำมาตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว มันคือเส้นทางหลักของผม โอเค ถ้ากระแสแร็ปเปอร์มา แล้วเราก็ยังทำแร็ปอยู่ แต่แร็ปในแบบของเรานะ ผมว่าคนก็ยังรู้สึกดีมากกว่าที่จะต้องวิ่งไปตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่ไม่แน่ว่ามันอาจจะขึ้นอยู่กับดวงครับเรื่องพวกนี้ (หัวเราะ)

Benz Beantown

จากศิลปินอิสระ สู่การทำงานในระบบค่ายเพลง มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

แค่รู้สึกว่าอยากให้มีคนมาช่วยในเรื่องที่เราไม่อยากทำ บางทีศิลปินเขาก็อยากจะทำแค่เพลง ไม่อยากทำโปรโมตหรืออะไรต่างๆ สนามหลวงมิวสิกก็ก้าวเข้ามาช่วยตรงนั้น บวกกับเพลงในอัลบั้มนี้เป็นเพลงที่ผมเขียนมาตั้งแต่ช่วงที่เริ่มเล่นดนตรี น่าจะประมาณ 8 ปีที่แล้ว เป็นเพลงที่ผมเขียนมานานแล้ว เป็นสต็อกที่เขียนไว้ตั้งแต่สมัยมัธยมเลย ก็ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว ซึ่งถ้ามีคนมาช่วยเรื่องอื่นๆ ก็ดี ผมก็ไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดียจ๋าๆ ไอจีก็ไม่ได้เล่นเยอะ ผมแค่อยากจะทำเพลง มันไม่ใช่ว่าผมไม่ใส่ใจนะ แค่ผมโฟกัสและตั้งใจทำเรื่องเพลงมากกว่า

ซึ่งถ้าให้เดา “Your Love Song” คือเหตุการณ์สมัยตอนเรียนมัธยม?

ถูกต้องเลยครับ (หัวเราะ)

เหมือนกับว่าเป็นเพลงเข้าใจง่ายๆ เนื้อหาไม่ซับซ้อน?

ใช่ครับ ผมเชื่อว่าทุกคนเคยตกอยู่ในสถานการณ์แอบรัก เคยผ่านเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน ผมเอาห้วงอารมณ์ของผมมาใส่ในดนตรีแจ๊ซ อัลบั้มชุดนี้เป็น music journey ของผมทั้งหมด 6 ตอน เพลง “Your Love Song” เป็นตอนแรก เป็นเรื่องราวของการแอบรัก ยังเป็นช่วงที่เจอนางเอกสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยม อีกหนึ่งแรงบันดาลใจก็คือศิลปินรุ่นพี่ที่เป็นไอดอลของผมทุกคนก็เริ่มต้นการเป็นศิลปินจากวัยมัธยม พี่ตูน Bodyslam, พี่ป๊อด Moderndog เช่นเดียวกัน ผมก็เลยเลือกที่จะใส่ชุดนักเรียนในมิวสิควิดีโอเพลงนี้

ปกซิงเกิลเพลง “Your Love Song”

ทำไมถึงเลือกดนตรีแจ๊ซมานำเสนอล่ะ?

ผมคิดว่านี่คือแนวทางของผม คือมีกลิ่นของแจ๊ซอยู่นิดหน่อย นีโอโซล อะไรประมาณนี้ ผมอยากจะเอาแนวดนตรีแจ๊ซนี่แหละเข้ามาผสมผสานและนำเสนอในเพลงอื่นๆ ด้วย เพลงต่อไปอาจจะเป็นละติน ผมก็จะเอาแจ๊ซเข้ามาเป็นตัว blend คือทุกเพลงที่ผมเขียนจะเป็นประมาณนี้หมด

เริ่มสนใจดนตรีแจ๊ซมานานหรือยัง?

คือผมก็เริ่มจากสายอัลเทอร์เนทีฟร็อคเหมือนๆ คนอื่น Moderndog, Silly Fools, Bodyslam ก็เล่นตามร้านต่างๆ พอไปอยู่บอสตัน ก็เริ่มฟังฮิปฮอป โอลด์สคูล ตอนแรกไม่ชอบฮิปฮอปเลยนะ แต่พอได้ฟังในแบบโอลด์สคูลแล้วรู้สึกว่า เราเข้าถึงชีวิตคน เพราะเราอยู่ที่นั่น เราเห็นความยากลำบากของคนผิวสีก็เลยเริ่มฟังจริงๆ จังๆ มากขึ้น หลังจากนั้นก็ได้เข้าไปเรียนที่เบิร์กลีย์ เป็นมหาวิทยาลัยที่ดนตรีแจ๊ซติดท็อปๆ ของโลก คนรอบๆ ตัวก็เรียน ก็เริ่มซึมซับ แต่ตอนนั้นเรายังสนใจฮิปฮอปอยู่มาก แต่ท้ายที่สุดรากของฮิปฮอปก็คือแจ๊ซ ก็เลยเริ่มถลำลึกเข้าไป แล้วพอมีโอกาสขึ้นเวที อย่างถ้าคุณเป็นนักดนตรี คุณขึ้นไป 10 ครั้งแล้วร้องเหมือนเดิมทุกครั้ง คุณรู้สึกเบื่อไหม แต่พอเริ่มเปลี่ยนตามจังหวะ ตามความรู้สึก ณ ตรงนั้น เอาล่ะ ตอนนั้นรู้เลยว่าแจ๊ซคือตัวตนของผม ทุกครั้งที่ไปเล่นจะเปลี่ยนจังหวะหมด เอาความรู้สึกตรงนั้นจริงๆ จะได้สื่อสารกับคนฟังได้ ถ้าเราเบื่อ เราจะสื่อสารกับคนฟังได้อย่างไร แล้วผมก็เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ในทุกๆ ครั้ง

Benz Beantown

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ดนตรีแจ๊ซในเมืองไทยไม่ใช่แนวเพลงที่ได้รับความนิยม หลายคนรู้สึกว่าฟังยากด้วยซ้ำ?

ผมไม่ได้ทำเพราะอยากดังหรืออยากแตกต่าง แต่มันคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงผมกับคนฟัง แล้วรู้สึกว่ามันท้าทาย เวลาย้อนกลับมาฟังก็จะไม่เบื่อ ถึงตอนนี้คนอาจยังไม่เก็ต แต่ถ้าเขามีโอกาสได้มาดูเราเล่นสด แล้วเราเข้าถึงพวกเขา พยายามทำให้คนฟังเข้าถึงเพลงของเราได้มากที่สุด แค่นั้นก็โอเคแล้ว นั่นก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ผมเลือกใส่ชุดนักเรียนในมิวสิควิดีโอ คนจะได้เริ่มเชื่อมโยงกับเราได้ ผมอยากให้คนมาเสพเพลงที่ผมตั้งใจทำมากกว่าที่ผมจะทำเพลงให้ตลาดนะ

อย่าง “Your Love Song” คุณพยายามจะให้คนฟังเข้าถึงเพลงของคุณด้วยการทำให้เพลงแจ๊ซไม่จำเป็นต้องปีนบันไดฟัง?

ผมจะพยายามไม่ให้คนต้องมาปีนบันไดฟัง ยกเว้นเพลงที่แบบ… เฮ้ยอันนี้สุดฝีมือผมละ อย่างเพลงแรก ผมไม่ได้มาเพื่อโชว์ แต่ผมมาเพื่อ เฮ้ยทุกคน โปรดหันมาทางนี้ หันมาทางผมได้ไหม ก็เปิดประเดิมจากเพลง “Your Love Song” นี่แหละ เพลงต่อไปก็อาจจะเริ่มยากขึ้นนิดนึง แล้วก็อาจจะมีบางเพลงที่ … โอ้โห อะไรวะ (หัวเราะ) ซึ่งนั่นอาจจะลึกหน่อย เป็นมาสเตอร์พีซอะไรแบบนั้น แต่ผมอยากจะบอกว่า ทุกเพลงคือจิตวิญญาณของผม ถ้าใครได้มาฟังผมเล่นสด คุณจะรู้สึกได้ว่าผมอยู่ในท่วงทำนองเหล่านั้นนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าจะมาเล่นเพลงยากให้ดู

อย่างไรก็ตาม คุณไม่ได้ทำเพลงเพื่ออยากดัง?

ใช่ ผมแค่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนได้เข้ามาเสพตัวตนของผม เพราะผมตั้งใจทำสิ่งๆ นี้ ตั้งใจจะวาดภาพๆ นี้ให้ทุกคนได้เห็น ผมไม่ได้วาดให้มันยิ่งใหญ่อะไร แต่สิ่งที่ผมทำคือจิตวิญญาณของผม ถึงจะร้องในที่ๆ มีคนแค่ 50 คน ถ้าเขาชอบผม ผมก็โอเค หรือถ้าผมจะร้องเพลงๆ หนึ่งที่ไม่มีใครเคยได้ยิน ไม่เข้าใจเนื้อเพลง แต่ถ้าลองเข้าถึงผมสักนิด แค่นั้นก็แฮปปี้แล้ว

เคยมีช่วงเวลาที่อยากหยุดทำเพลงบ้างไหม เพราะ 6-7 ปีที่ผ่านมา คุณก็ยังเป็นที่รู้จักในเฉพาะกลุ่มอยู่?

ก็มีครับ เชื่อว่าศิลปินทุกคนเคยผ่านความรู้สึกนี้ บางคนก็หยุดทำไปเลย แต่ผมว่ามันเป็นสิ่งที่เราจะรู้เองได้ว่า หยุดได้หรือหยุดไม่ได้ คือถ้าเพลงมันอยู่ในสายเลือดของคุณแล้ว ยังไงมันก็กลับมา ประเด็นคือ เราต้องถามตัวเองครับว่า ถ้าเราทำเพลงต่ออีกสักร้อยเพลงแล้วยังไม่มีคนรู้จักเรา ยังอยากจะทำต่อไหม ถ้าคำตอบคือใช่ อยากจะทำ มันอยู่ในจิตวิญญาณคุณแล้วครับ แล้วคำตอบของผมก็คือ ใช่ อย่างอัลบั้มชุดนี้มันค่อนข้างส่วนตัวมากๆ และเป็นผลงานแรกที่โปรดิวซ์ให้ตัวเองทั้งหมด

Benz Beantown

ด้วยภาพลักษณ์ภายนอกที่คนอื่นอาจจะมองเข้ามาว่า เพลงที่คุณทำก็เปรียบเสมือน ของเล่นของคนรวย คุณอยากจะบอกอะไรพวกเขา?

คือผมไม่โกรธนะ ตอนเด็กๆ อาจจะโกรธ เพราะเราตั้งใจทำไง คนในแวดวงดนตรีเขาไม่สนใจหรอกว่าใครรวยหรือไม่รวย เพราะมีสองมือสองเท้าเหมือนกัน ผมว่าผลงานจะเป็นตัวพิสูจน์ ไม่ใช่ว่าดังหรือไม่ดังนะ แต่พอเพลงมันปล่อยออกมาเรื่อยๆ เขาจะเริ่มเข้าใจ เพราะดนตรีมันโกหกใครไม่ได้ คนนี้อาจทำเพื่อความดัง คนนี้ทำเพื่อเป็นพอร์ตโฟลิโอของตัวเอง หรือคนนี้ทำเพื่ออะไรก็ตามแต่ ยกตัวอย่างง่ายๆ มิวสิควิดีโอเพลง “Your Love Song” ผมนั่งตัดต่อเองนะ แล้วใช้ทุนต่ำมาก มันเมกเซนส์ไหมสำหรับคนรวยที่อยากจะโชว์ มานั่งทำแบบนี้ มานั่งตัดต่อเอง (หัวเราะ) แล้วถ้าใครรู้จักผมจะรู้ว่า ผมติดดินมาก และค่อนข้างทำงานหนัก ไม่ชิลเลย คือถ้าใครมองแบบนั้น เมื่อผลงานมันออกมาเรื่อยๆ ผมว่าเดี๋ยวเขาก็เข้าใจเอง

 

Story by: Chanon B.
Photos by: สนามหลวงมิวสิก

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ “Benz Beantown” : ดนตรีคือจิตวิญญาณที่ไม่สามารถโกหกคนฟังได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook