คุยกับ Nothing But Thieves ถึงอัลบั้มล่าสุดที่เกือบจะไม่ได้ปล่อย และวงการร็อคในปี 2018 | Sanook Music

คุยกับ Nothing But Thieves ถึงอัลบั้มล่าสุดที่เกือบจะไม่ได้ปล่อย และวงการร็อคในปี 2018

คุยกับ Nothing But Thieves ถึงอัลบั้มล่าสุดที่เกือบจะไม่ได้ปล่อย และวงการร็อคในปี 2018
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ก่อนเริ่มบทสัมภาษณ์กับ 5 หนุ่มอัลเทอร์เนทีฟร็อคจากเกาะอังกฤษ Nothing But Thieves เราอยากจะออกตัวก่อนว่าเราเริ่มติดตามผลงานของวงนี้ได้ไม่นานนัก หลังจากที่พวกเขาออกอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 อย่าง Broken Machine แล้ว แต่เราได้ยินชื่อเสียงเรียงนามผ่านตาตาม social media มานานพอสมควร รวมถึง related artists เวลาฟังเพลงใน streaming รวมถึง YouTube ที่มักจะขึ้นมาให้เห็นเนืองๆ แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรที่มาบังตา ทำให้ไม่ยอมกดฟังเสียที จนกระทั่งมีข่าวแว่วๆ ว่า Nothing But Thieves กำลังจะมาไทยนี่แหละ เราถึงคิดขึ้นมาได้ว่า “ได้ฤกษ์ฟังเพลงของวงนี้จริงๆ เสียทีนะ” แล้วก็เริ่มไล่ฟังตั้งแต่แทร็คแรกของอัลบั้ม Nothing But Thieves จนถึงแทร็คสุดท้ายของอัลบั้มล่าสุด

... และนั่นทำให้เราโกรธตัวเองนิดๆ ว่า “ไปอยู่ที่ไหนมานะ ทำไมเพิ่งมาฟังเอาป่านนี้” เพราะหลายๆ เพลงถูกจริตกับเราเข้าอย่างจัง สุดท้ายก็เดินไปคว้าซีดีอัลบั้มที่ร้าน 2 อัลบั้มรวด และไม่ลืมที่จะกดฟังเพลงโปรดซ้ำๆ จนขึ้นใจ

เย็นวันที่ 2 ส.ค. 2018 ณ Moonstar Studio แม้ว่าสภาพร่างกายจะไม่ 100% เพราะโดนไข้หวัดเล่นงานขนานใหญ่ แต่ใจบอกเลยว่าเกิน 120% เพราะนอกจาก Sony Music Thailand จะให้เราได้สัมภาษณ์สมาชิก Nothing But Thieves กันอย่างใกล้ชิด ชนิดที่เรียกว่าลากเก้าอี้มานั่งสุมหัวคุยกันอย่างสบายๆ สุดๆ แล้ว ยังมีโอกาสได้หยิบซีดีให้พวกเขาเซ็นด้วย แน่นอนว่าหนุ่มๆ ทุกคนเซ็นปกซีดีให้เรารวดเร็วมาก ใช้เวลารวม 5 คน 2 ปกภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที ชีวิตทัวร์คอนเสิร์ตของพวกเขาคงผ่านการเซ็นปกซีดีแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ภายใต้รอยยิ้มสดใสของ Conor Mason (ร้องนำ, กีตาร์), Joe Langridge-Brow (กีตาร์), “Dom” Dominic Craik (กีตาร์, คีย์บอร์ด), Philip Blake (เบส) และ James Price (กลอง) กว่าจะมาเป็น Nothing But Thieves ในตอนนี้ก็ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน การสนทนาในครั้งนี้มี Joe และ Dom คอยตอบคำถามอย่างตั้งใจ โดยมี Conor, Philip และ James นั่งฟัง พยักหน้า และร่วมหัวเราะไปกับมุกตลกไปด้วยเรื่อยๆ ไม่ใช่ทุกครั้งนะที่คนตอบคำถามบ่อยๆ จะไม่ใช่นักร้องนำ

 

____________________

nbt_sanook_3

Nothing But Thieves จากซ้ายไปขวา Joe Langridge-Brow (กีตาร์), Conor Mason (ร้องนำ, กีตาร์), “Dom” Dominic Craik (กีตาร์, คีย์บอร์ด), James Price (กลอง) และ Philip Blake (เบส)

 

 

หลังจากประสบความสำเร็จสุดๆ กับอัลบั้มแรก Nothing But Thieves เกือบจะไม่ได้มีอัลบั้มที่ 2 ต่อเพราะทุกคนเหนื่อยล้าจากการทัวร์คอนเสิร์ตมากไป และเริ่มคิดว่า “นี่อาจจะไม่ใช่ชีวิตที่ต้องการ” พวกคุณกลับมาเริ่มทำงานเพลงกันต่อจากช่วงเวลานั้นได้อย่างไร?

Joe : เราเริ่มหันหน้าคุยกันจริงจังว่าพวกเราจะเอาอย่างไรกันต่อดี สุดท้ายเราก็ลองเปลี่ยนวิธีการทัวร์ของเราไม่ให้มันแน่นเกินไป เรายังวางแผนที่จะแสดงคอนเสิร์ตในหลายๆ ที่ หลายๆ ประเทศทั่วโลกเหมือนเดิมนะ แต่พวกเราพยายามจะเว้นระยะห่างของแต่ละที่ให้ดี เพื่อไม่ให้พวกเราเหนื่อยล้าจนเกินไป และเลือกที่จะเปลี่ยนเพลงไปในแต่ละเซ็ตลิสต์ให้ได้มากที่สุดเพื่อให้รู้สึกถึงความสดใหม่ทุกครั้งที่ได้ขึ้นเวที สุดท้ายวิธีนี้ก็เวิร์ก จนมีอัลบั้มใหม่ออกมา และก็ได้เริ่มทัวร์กันใหม่อีกรอบ

 

ปัญหาเรื่องทัวร์จบไป อัลบั้มถัดมาล่ะ ทุกคนรวมตัวกันทำอัลบั้มนี้กันอย่างไรบ้าง?

Dom : พวกเราเริ่มแต่งเพลงใหม่ๆ ตั้งแต่ตอนที่ทัวร์คอนเสิร์ตอัลบั้มแรกแล้วล่ะครับ และส่วนใหญ่จะเป็นการแต่งเพลงตามใจพวกเราเองกันมากกว่า นึกอยากจะแต่งก็แต่งออกมาเลย แม้ว่าทัวร์ครั้งที่แล้วจะทำเอาพวกเราน่วมเอาการ โดยเฉพาะ Conor ที่เหนื่อยที่สุด เป็นทัวร์อเมริกาที่นานติดต่อกันยาวนานหลายเดือน ใช้ชีวิตอยู่แต่ในรถบัส แต่เราก็ได้รับคำแนะนำให้ลองปลดปล่อยจิตใจ และความรู้สึกของตัวเองจากความตึงเครียดจากการทัวร์ให้ได้ หลังทัวร์เสร็จเราเลยลองพักกันยาวๆ ที่บ้านของพวกเราเองราว 4-5 เดือน สุดท้ายพอเรียกทั้งกำลังใจ และกำลังกายกลับมาได้ ก็เริ่มกลับมาทำอัลบั้มกันต่อจนเสร็จอีกที ทั้งเพิ่มเพลงใหม่ ทั้งทบทวน และปรับแต่งเพลงเก่าที่ทำไว้แล้ว

 

คอนเซ็ปต์ของอัลบั้มนี้ออกแนว “เปลี่ยนสิ่งที่มืดมน ให้กลายเป็นสิ่งที่สวยงาม” ไอเดียนี้มาจากไหน และทำไมถึงเลือกตั้งชื่ออัลบั้มว่า Broken Machine?

Joe : จริงๆ เพลง Broken Machine” (ที่นำมาตั้งเป็นชื่ออัลบั้ม) เพิ่งจะมาทีหลังนะ ส่วนใหญ่เพลงในอัลบั้มนี้พูดถึงวงของเราโดยรวม เรื่องที่พวกเราประสบพบเจอมาตลอดที่พวกเราทัวร์อัลบั้มแรกกันนั่นแหละ ไอเดียของอัลบั้มนี้ก็เหมือนเล่าถึงเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นว่ามันกลายมาเป็นเรื่องที่ดีกับพวกเราในภายหลังได้ อย่างเช่นการมีอัลบั้มใหม่ออกมา พอเราแต่งเพลงไปเรื่อยๆ จนมีเพลง “Broken Machine” ออกมา เรารู้สึกว่าเพลงนี้อธิบายภาพรวมของทุกๆ เพลงในอัลบั้มนี้ได้ดี และช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราพอจะมองภาพของอัลบั้มนี้ได้อย่างชัดเจนแล้วด้วย เลยคิดว่าเพลงนี้น่าจะสื่อถึงอัลบั้มนี้โดยรวมได้ดี

Dom : ในช่วงที่เรากำลังออกแบบหน้าปกอัลบั้ม เราได้เห็นงานศิลปินแบบ Kintsugi ของญี่ปุ่น (ศิลปะแฝงปรัชญาแบบเซน ที่ซ่อมแซมถ้วยชามกระเบื้องที่แตกร้าวด้วยรัก หรือยางไม้ที่มีส่วนผสมของทองคำ จนได้เป็นผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ และสวยงามแปลกตากว่าเก่า) ตอนนั้นยิ่งทำให้เรามองเห็นแนวทางของอัลบั้มนี้ได้อย่างชัดเจนมากขึ้นว่าเราต้องทำอะไรกันต่อ และจะปิดท้ายอัลบั้มกันอย่างไร

 

สำหรับ Broken Machine พวกคุณอยากลองทำอะไรใหม่ๆ และไม่กลัวที่จะลองเสี่ยงกับซาวด์ที่พวกคุณไม่เคยใช้ และไม่กลัวว่าบางเพลงอาจจะฟังดูแปลกหูไปบ้าง พวกคุณมีวิธีควบคุมการใส่ความแปลกใหม่ลงไปในเพลงของพวกคุณอย่างไร โดยไม่ทำให้มันออกมาแปลกจนเกินไป?

Dom : พวกเราค่อนข้างพิถีพิถันมากกับการเลือกซาวด์ที่เราจะใช้ในแต่ละเพลง ทั้งลองผสมผสานระหว่างซาวด์สมัยนิยมแบบเก่าๆ ให้เข้ากับซาวด์พื้นฐานดั้งเดิม ทั้งซาวด์ที่เราได้ยินจากวงดนตรีที่เราชอบ วงดนตรีเก่าๆ ในยุค ‘70s หรือจะเป็นซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ พอฟังเสร็จเราก็นั่งแชร์ไอเดียร่วมกัน ทดลองผสมนั่นนี่ไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายก็เลือกซาวด์ที่พวกเราเห็นตรงกันว่าเข้าท่าที่สุด น่าสนใจที่สุด มันจะออกมาเป็นซาวด์ที่ดูเหมือนจะ old school เก๋าๆ หน่อย แต่ก็ modern ดูนำสมัยขึ้นมาอีกนิด แรกๆ อาจจะฟังดู Radiohead หน่อยๆ แต่พอฟังต่อไปเรื่อยๆ มันจะฟังดู modern ขึ้น

Joe : อาจจะเป็นเพราะพวกเรามีด้วยกัน 5 คนด้วยล่ะมั้งครับ เลยทำให้พวกเราได้ถกเถียงพูดคุยกันจนได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ และอยู่ในความพอดี หากเป็นศิลปินเดี่ยวที่ทำเพลงคนเดียว มีความเห็นจากตัวเองคนเดียว คุณก็มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดเวลา นอกจากนี้เราก็ทำเพลงด้วยกันมามากกว่า 5 ปีแล้ว พวกเราเลยค่อนข้างจะเข้าขากันได้ดี และรู้สไตล์ของแต่ละคนชัดเจน และออกมาเป็นเพลงของ Nothing But Thieves ในที่สุด

Dom : พวกเรามีกันตั้ง 5 คน ก็คงมีช่วงที่ความเห็นไม่ตรงกันอยู่บ้าง (หัวเราะ) แต่เราไม่ได้มานั่งเถียงใส่กัน พวกเราพยายามเขียนออกมาเป็นข้อๆ แล้วให้ทุกคนเลือกข้อที่ดีที่สุด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นความเห็นที่พวกเรารับกันได้นะ เพราะพวกเราฟังเพลงในแนวเพลงที่ใกล้เคียงกัน ไม่ได้มีใครฟังเพลงฉีกแนวแตกต่างออกไปอย่างชัดเจนมากนัก และพวกเราทุกคนก็ค่อนข้างเปิดรับกับความคิดเห็นที่แตกต่างกันจริงๆ ดังนั้นพวกเราจึงยอมรับกับคำตอบสุดท้ายที่พวกเราเลือกกันออกมาได้ไม่ยาก นอกจากนี้เราก็แก้ไขปัญหากันด้วยการทำเพลงแบบเดโมออกมาฟังกันก่อน ตอนเราฟังเดโมเราจะรู้ว่าส่วนไหนควรปรับแต่งต่ออย่างไร

 

 nbt_sanook_5

 

แม้ตอนเริ่มต้นอัลบั้ม 2 จะดูมีปัญหานิดหน่อย แต่สุดท้ายก็จบลงอย่างสวยงาม แล้วอัลบั้ม 3 ล่ะ?

Joe : พวกเราได้แรงบันดาลใจจากการทำอัลบั้ม 2 มาบ้างเหมือนกัน คิดว่าคงจะได้เอามาทำอัลบั้ม 3 ต่อ ตอนทำอัลบั้ม 2 เราพักงานกันสักพักเพื่อมองหาแรงบันดาลใจในการทำเพลงต่อ นั่นทำให้เรากลับมาสนุกกับการแต่งเพลงกันอีกครั้ง แต่สำหรับอัลบั้ม 3 เราคิดว่าคงจะทำแบบเดิม แต่ก็พอจะมีไอเดียลางๆ แล้วว่าจะเขียนอย่างไรบ้าง

 

ก่อนจะไปถึงอัลบั้ม 3 เราได้ฟังเพลงคัฟเวอร์อย่าง “Crazy” ของ Gnarls Barkley กันก่อน เป็นไงมาไงถึงเลือกเพลงนี้มาร้องกัน? และเวอร์ชั่นของพวกคุณก็แตกต่างจากเวอร์ชั่นเดิมชัดเจนสุดๆ

Joe & Dom : ใช่ คืองี้ (พูดพร้อมกัน) (หัวเราะด้วยกันทั้งคู่ ก่อนที่จะให้ Joe เป็นคนตอบ)

Joe : จริงๆ เราไม่ได้ตั้งใจจะคัฟเวอร์เพลงนี้หรอกครับ บางครั้งจะมีคนมาขอให้พวกเราร้องเพลงคัฟเวอร์ประกอบภาพยนตร์บ้าง หรือสำหรับรายการทีวีบ้าง สำหรับเพลงนี้ก็มีคนขอให้พวกเราลองคัฟเวอร์เพลง “Crazy” ดูครับ แต่พวกเราดันคัฟเวอร์ผิดเพลง (หัวเราะ) ตอนเราส่งเพลงไป เขาถามกลับมาว่า “ส่งอะไรมาน่ะ?” สุดท้ายมันก็เลยไม่ได้เอาไปใช้ในรายการทีวีอย่างที่วางแผนกันไว้ เราก็เลยเอาปล่อยให้แฟนๆ ได้ฟังกันภายหลัง

Dom : พวกเรารักเวอร์ชั่นนี้มากนะ น่าจะทำเพลงนี้เอาไว้สัก 3 ปีมาแล้ว พวกเรารอจังหวะดีๆ หลังออกอัลบั้มที่ 2 นี่แหละที่จะปล่อยเพลงนี้ออกมาเหมือนกับเพลงพิเศษเพิ่มเติมเข้ามา และก็เป็นอย่างที่ทุกคนได้ยิน มันค่อนข้างจะแตกต่างจากต้นฉบับไปเยอะเลย นี่เป็นส่วนที่เราชอบเพลงนี้มาก ยิ่งฟังแล้วรู้สึกเหมือนเป็นอีกเพลงไปเลยยิ่งดี เป็นความสนุกของการคัฟเวอร์เพลงเก่า ตอนฟังยังรู้สึกถึงวัตถุดิบเดิมๆ แต่เมื่อได้ฟังแล้วกลับกลายเหมือนเป็นอีกเพลงไป อะไรแบบนั้น

 

เพลงที่ชอบที่จะได้เล่นสดบนเวทีมากที่สุด คือเพลงอะไร?

Joe : สำหรับผมเป็นเพลง “Amsterdam” นะ เพราะผมชอบเพลงนี้ตั้งแต่ตอนอัดเสียงแล้ว แล้วเพลงนี้มันเหมือนเป็นเพลงสากลสำหรับทุกที่ที่พวกเราไป ทุกคนอิน และเข้าถึงเพลงนี้กันได้อย่างดีทุกคน

Dom : เห็นด้วย

Joe : พวกเรามีความทรงจำดีๆ ที่เมือง Amsterdam ด้วย ไม่รู้เพราะอะไร แต่ลงท้ายที่เมืองนี้ทุกที

Sanook : จะมีเพลง Bangkok ไหม?

(ทุกคนหัวเราะ)

Joe : ต้องดูว่าคืนนี้ (คืนที่เล่นคอนเสิร์ตในไทย) จะเป็นอย่างไรบ้าง

 

พวกคุณเคยบอกว่าไม่อยากจะเป็นวงร็อคแบบดั้งเดิม แต่อยากจะขยายคำจำกัดความของความเป็นดนตรีร็อคออกไปให้กว้างขึ้น แล้วสำหรับพวกคุณคิดว่าดนตรีร็อคในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?

Joe : ผมว่ามันเริ่มจะดีขึ้นจากเมื่อช่วง 10-15 ปีก่อนนะ ที่เมืองไทยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นที่อังกฤษล่ะก็ ช่วงกลางยุคปี 2000 เป็นช่วงย่ำแย่มากๆ จริงๆ ก็ย่ำแย่กันไปหมดทุกแนวดนตรีนั่นแหละ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้เรามีวงเจ๋งๆ อย่าง Royal Blood, Slaves และวงใหม่ๆ อีกหลายวงที่ดีๆ ด้วยกันทั้งนั้น ผมเลยคิดว่าศิลปินเหล่านี้จะช่วยให้ดนตรีร็อคกลับมารุ่งเรือง และเป็นที่นิยมอีกครั้งได้อย่างแน่นอน และพวกผมก็จะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่อยู่ในกลุ่มวงดนตรีเหล่านี้ด้วย

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook