9 เพลงรักที่ไม่ใช้คำว่า "รัก" แม้สักครั้งเดียว | Sanook Music

9 เพลงรักที่ไม่ใช้คำว่า "รัก" แม้สักครั้งเดียว

9 เพลงรักที่ไม่ใช้คำว่า "รัก" แม้สักครั้งเดียว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เคยไหมที่อยากบอกรัก โดยไม่ใช้คำว่ารัก

คำว่า "รัก" ตรงๆ มันรู้สึกเลี่ยนๆ อย่างไรไม่รู้

เพลงในยุคนี้มักเป็นเพลงที่เสพง่ายๆ สำหรับคนสมัยใหม่สมาธิสั้น รีบฟัง รีบไป ทำให้คนเขียนเนื้อเพลงต้องปรับตัว เน้นพูดตรงๆ ใช้คำแรงๆ เพื่อให้เข้าใจง่าย ติดหู แชร์ไว อย่างบางวันที่อยากเปิดเพลงรักสร้างบรรยากาศ แต่พอเพลงพ่นคำว่า "รัก" ออกมาพรํ่าเพรื่อในอากาศมากเกินไปก็ดูหวานเลี่ยน ไม่น่าสนใจ ขณะที่สมัยก่อนเราจะเจอเพลงที่มีความสละสลวยและความหมายที่ซ่อนเร้นซึ่งกลับมีเสน่ห์ สื่อสารความรู้สึกอย่างมีชั้นเชิง ดูน่าสนใจ และสนุกเสมอเมื่อเพลงนั้นเป็นปริศนาที่ต้องไขความหมายระหว่างบรรทัด และหลายๆ เพลงก็เป็นเพลงรัก แต่สามารถสื่อสารความรู้สึกได้อย่างตรงไปตรงมา เรียบง่าย โดยไม่ต้องพูดคำนี้สักครั้งเดียว

ถ้ากำลังหาเพลงที่เหมาะกับการบอกว่ารักโดยไม่ต้องพูดคำนั้นออกมาตรงๆ เราขอแนะนำ 9 เพลงนี้เลย ขอหยิบมาทั้งเพลงไทยและฝรั่งเพื่อเปรียบเทียบเนื้อเพลงที่สวยงามในทั้ง 2 ภาษา ไม่เรียงลำดับตามความชอบใดใด 

 

Penguin Villa – "Good Morning"

เพลงนี้นอกจากจะมีสัมผัสนอกในที่สวยงามแล้ว ท่อน ‘ฉันแค่คิดถึงเธอ ทุกทีที่ฉันเจอ ความงดงาม’  แสดงความรู้สึกได้ดีกว่าบอกการรักห้วนๆ เหลือเกิน สามารถเล่าเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งอารมณ์ผลิแย้มยามเช้าและความสดใสในความสัมพันธ์ได้น่าประทับใจ ส่งความสุขได้ดีมาก

“แดดส่องสะท้อนดอกไม้แย้มบาน ลมโชยพัดผ่าน
หยาดน้ำค้างพร่างพราย แพรวพราว
เวลาดี ๆ อย่างนี้ เธออยู่ไหน
ฉันแค่คิดถึงเธอ ทุกทีที่ฉันเจอ ความงดงาม”

 

บอย โกสิยพงษ์ – "คิดลึก" feat. คณิณ Pru

คิดลึกนี่ลึกแค่ไหนหรือคิดอะไรอยู่? เพลงนี้มันช่างน่ารักกรุบกริบ หวานจ๋อย ชวนจิกหมอนได้อย่างมีชั้นเชิง สำหรับหลายคน ถ้าคนที่กิ๊กกั๊กกันอยู่ส่งเพลงมาให้คงละลายคาห้องแชตไปเลย (แต่จะตีความให้กลายเป็นเพลงจืดๆ ก็ได้)

ที่สำคัญในเอ็มวี เคมีของ พลอย เฌอมาลย์ กับ คณิณ วง Pru ก็ดีมากเลย ทั้งที่สตอรี่ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ตรงไปตรงมาแต่น่ารัก

“เขาคิดลึก ลึกจนเกินที่จะเอ่ย
และเขาคงไม่กล้าเปิดเผย  ทั้งๆที่เคยพยายามทุกที
เขาคิดลึก ลึกจนล้นใจที่มี
จนร้องเป็นเพลงเพลงนี้  บอกสิ่งที่มีข้างในหัวใจ ให้เธอฟัง"

 

Moor – "แต่งงาน"

เพลงไทยในตำนานที่หลายๆ คนได้ใช้เพื่อขอคนที่รักแต่งงานไปหลายคู่ และเชื่อว่ามีใครหลายอีกคนอยากใช้เพลงนี้ในงานแต่งงานของเขา เพราะเพลงนี้สวยงามมาก และมิวสิควิดีโอก็แสดงภาพของผู้หญิงหลายๆ คนที่สวยกันไปคนละแบบ และเพลงนี้ก็ถ่ายทอดความรู้สึกว่าการแต่งงานเป็นการตัดสินใจใหญ่มากที่เราจะเลือกอยู่กับใครสักคนที่ไม่ใช่ญาติของเรานานเท่าที่จะทำได้ ช่างอิ่มเอมใจจริงๆ สำหรับเพลงนี้ ไม่ขอบรรยายยืดยาว ไปฟังกันเลยดีกว่า 

“จะบอกความฝันที่สวยงาม 
ในยามที่เธอกับฉันมีความหมาย (ที่ฉันไม่เคยบอก)
เป็นดังลมที่หายใจต่อกัน (ที่เธอไม่เคยรู้)
เป็นนาทีแห่งความฝัน ที่อยากขอให้อยู่และรับฟังเอาไว้"

 

Electric.Neon.Lamp – "Life in Neon"

 

 

 

ในขณะที่หลายเพลงเปรียบคนที่เขาหลงใหลรักใคร่เป็นดวงอาทิตย์ เพลงนี้ตีความคนรักเป็นไฟนีออนในยามมืดมิดของเวลากลางคืน

"Life in Neon" เพลงแรกของวง Electric.Neon.Lamp ที่ปล่อยให้คนฟังอัพโหลดขึ้นบน myspace เป็นที่แรก เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นที่หอพักชื่อ Lilly ในเวลาดึกสงัด ด้วยความที่เป็นนักศึกษานอนดึก ต้น มือกีตาร์ เริ่มคอร์ดท่อนฮุกเอาไว้โดยกะจะแต่งเป็นเพลงสำหรับชีวิตกลางคืน แต่คนฟังก็นำไปตีความต่อว่าหมายถึงคนที่รักที่เป็นแสงไฟอันสดใส กลายเป็นเพลงรักในตำนานของวงและเป็นจุดกำเนิดของ ‘ชาวณีอร’ ไปโดยปริยาย

“จะกลางวันหรือกลางคืนไม่สับสน ก็เพียงแค่มีเธอที่ให้ความหมายกับมัน
จะกลางวันหรือกลางคืนก็คงจะไม่สำคัญ ก็เพียงแค่มีเธอก็พอ”

“ฉันมีเธอจะเป็นดังแสงไฟ ฉันมีเธอที่คอยให้ความสดใส
ฉันมีเธอจะเป็นดังแสงไฟ ฉันมีเธอที่คอยให้ความสดใส“

 

Orange Juice – "Falling and Laughing"

ฟังเพลงหวานชวนมโนมาหลายอันแล้ว ก็มาฟังเพลงสารภาพรักแบบจืดๆ บ้างนะ เพลงนี้เป็นเพลงแรกของวง post-punk ชาวสก็อตติช Orange Juice ซึ่งเดบิวต์ในปี 1982

สำหรับเรา มันคือเพลงที่จืดมาก แต่ถูกกลบเกลื่อนด้วยดนตรีที่สนุกแพรวพราวแบบ post-punk แต่เมื่อส่องเนื้อเพลงแล้ว เพลงนี้เล่าถึงชายคนหนึ่งที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีให้อีกคนสนใจ เอาแต่หลบสายตา เลยได้แต่หัวเราะเยาะให้กับความพ่ายแพ้ของตัวเอง 

“Avoid eye contact at all costs . What can I do
To see your fine teeth smiling at me
You say that there’s a thousand like you
Well, maybe that’s true
I fell for you and nobody else
So I’m standing here so lonesome
What can I do. But learn to laugh at myself"

“เธออาจจะบอกว่ามีอีกพันคนที่เหมือนๆ เธอ
แต่ฉันก็พลาดพลั้งให้กับเธอคนเดียว ไม่ใช่ใครอื่น
ทุกวันนี้ก็แห้งมาก แต่ทำไงได้
นอกจากหัวเราะให้ตัวเอง”

 

Oasis – "Wonderwall"

ไม่มีใครไม่รู้จักเพลงนี้ บริตร็อกในตำนานในใจของทุกคน และเชื่อว่าหลายๆ คนก็เคยเล่นคัฟเวอร์

ตอนแรกปกซิงเกิ้ลจะเป็นรูปของ Liam Gallagher แต่เมื่อ Noel เห็นก็บอกให้เปลี่ยนเดี๋ยวนี้นะ ด้วยเหตุผลที่ว่า “It’s a fucking love song… no way was Our Kid appearing on the cover.”

คนทึกทักไปเองว่าเพลงนี้แต่งให้กับภรรยาเก่าของ Noel แต่เขาไม่กล้าปฏิเสธ โดยเพลงนี้เกี่ยวกับเพื่อนในจินตนาการของเขาที่จะมาช่วยให้เขาหลุดจากด้านมืดของตัวเอง เดิมเพลงนี้เกือบมีชื่อว่า "Wishing Stone" ซึ่งทั้งคู่ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดของพวกเขาในฐานะวง Oasis คำว่า Wonderwall เป็นคำที่เพราะมากจริงๆ และเพลงนี้ก็มีคนร้องคัฟเวอร์มากมายทั้งโลก และจากคำบอกเล่าของ Noel เขาประทับใจเวอร์ชันปี 2004 โดย Ryan Adams ที่ช้าและเค้นอารมณ์มากๆ 

“I said maybe, you’re gonna be the one that saves me And after all, you’re my wonderwall”

 

The Velvet Underground – Pale Blue Eyes

 

เพลงจากปี 1969 เพลงนี้เขียนโดย Lou Reed และเล่นโดยวง Velvet Underground เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมากจาก Shelley Albun รักแรกของ Lou Reed ซึ่งดันไปแต่งงานกับชายคนอื่นแทน (และตาของเธอเป็นสีเฮเซล ไม่ใช่สีฟ้าอ่อน)

“Sometimes I feel so happy
Sometimes I feel so sad
Sometimes I feel so happy
But mostly you just make me mad
Baby you just make me mad”

เมื่อได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกตอนสมัยวัยรุ่น เมโลดี้มันเรียบง่าย และเนื้อหาก็ตรงไปตรงมา แม้เนื้อเพลงจะหวานมาก แต่ด้วยส่วนผสมของดนตรีและวิธีร้องแบบวงนี้ ทำให้รู้สึกว่ากำลังดี ไม่เลี่ยนเกินไป ชอบการพยายามบรรยายลักษณะของคนที่รักและหลงใหล เน้นยํ้าไปที่ดวงตาสีฟ้าอ่อนอันเป็นจุดที่น่าจดจำของเธอซํ้าไปซํ้ามา แต่ก็ปนเศร้าเพราะไม่สามารถเก็บรักษาเธอไว้ได้ เพราะเธอแต่งงานแล้ว แม้จะคลั่งมากแค่ไหนก็ตาม

"บางครั้งฉันสุข บางคราวฉันเศร้า
และบางคราวก็สุขสม แต่คนดี
เธอทำให้ฉันคลั่ง เธอทำให้ฉันคลั่ง"

 

The Antlers – "Palace"

ปกติเพลงของวง The Antlers จะมีเนื้อหาที่เศร้าหม่นทุกข์ทน สะเทือนอารมณ์ เป็นแนวหนีโลก ปลงและปล่อยวาง

เราชอบที่เนื้อเพลงนี้มีความซับซ้อนต้องตีความและมีสัญญะซ่อนอยู่ เสมือนว่าความรักคือวังสมมติที่คู่รักได้สร้างขึ้นมา เป็นที่หลบภัย แม้เราจะโตไม่ได้เข้าใจง่ายเหมือนสมัยเด็ก โตมากลายเป็นคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก แต่ความรักก็ยังเป็นสิ่งสวยงาม

ท่อนจบมันสวยงามมาก คือพูดว่า

“คู่รักไม่ต้องถ่ายรูปเป็นหลักฐานมากมายเพื้อพิสูจน์ให้ใครรู้
มันก็ไม่ยากเกินจะที่เชื่อ
เมื่อเราตื่นขึ้นมาในสถานที่ลับของเรา ทุกคนจะรู้เอง

(ความรักเป็นเรื่องส่วนตัว โดยไม่ต้องประกาศว่าเรารักกัน หากรักกันลึกซึ้งสัมพันธ์ ทุกคนรอบกายจะรู้ได้เอง เป็นความลับที่ทุกคนสัมผัสได้)”

“You were simpler
you were lighter when we thought like little kids
Like a weightless, hate-less animal
beautifully oblivious before you were hid inside a stranger you grew into
as you learned to disconnect”

 

The Beatles – "When I’m Sixy Four"

เป็นเพลงของ The Beatles ที่ง่ายๆ สั้นๆ แต่น่ารักมากๆ แต่งโดย John Lennon และ Paul McCartney จะตีความเป็นเพลงรักก็ได้ หรือเป็นเพลงที่พูดถึงมิตรภาพก็ได้ ว่าความสัมพันธ์ของเราจะยืนยาวไปถึงเราอายุ 64 ปีหรือเปล่า ฟังทีไรนึกถึงตอนมัธยมที่เคยไปเที่ยวเกาะ Isle of Wight เพราะได้ยินเพลงนี้ พบว่าเป็นเกาะของคนชราหลังเกษียณจริงๆ สงสัยว่าเมื่อเราแก่ไปจะเหลือคนในชีวิตให้คิดถึงอีกเท่าไหร่ แต่ถ้าฉันแก่ เธอก็คงจะแก่ลงเช่นกัน

น่าเสียดายที่จอห์นอยู่ไม่ถึงอายุ 64 ปี แต่โลกจะระลึกถึงเขาเสมอ ส่วน Paul Mccartney อายุ 75 ปีซะแล้ว อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปเยอะ เพลงนี้ฟังแล้วทำให้รู้สึกว่าชีวิต ความรัก ความสัมพันธ์ ล้วนไม่เที่ยง แต่เราก็หวังว่าคนที่เราเจอในวันนี้ ที่รู้สึกดี จะอยู่ในชีวิตเราไปนานๆ จนถึง 64 ปี เหมือนในเพลง 

“หลายปีต่อจากนี้ วันที่ผมไม่เหลือผม
เธอจะส่งการ์ดวาเลนไทน์ให้ผมอยู่ไหม
เมื่อที่ผมอายุ 64"

 

คำว่า "รัก" นั้นมีวิธีการพูดที่หลากหลายกว่านั้น เราสามารถแสดงออกถึงคำว่ารักได้มากกว่าพูดว่ารัก เป็นความซับซ้อนแห่งการสื่อสารของมนุษย์ ทำให้ชีวิตและความสัมพันธ์มันสนุก ต้องตีความ และคิดไตร่ตรอง

ในภาษากรีกโบราณ มีคำว่ารักถึง 6 คำที่แตกต่างกัน แต่ละคำล้วนหมายความคนละอย่าง ได้แก่

  1. Eros (sexual passion) รักเสน่หา แบบมีความปรารถนาทางเพศ ตั้งตามเทพ Eros อันเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์
  2. Philia (deep friendship) รักแบบเพื่อน ความรักมิตรภาพอันลึกซึ้ง
  3. Ludus (playful love) รักแบบเล่นๆ สนุกๆ
  4. Agape (love for everyone) รักที่มีให้กับทุกคน และมวลมนุษยชาติ
  5. Pragma (longstanding love) รักอันยืนยาว
  6. Philautia (love of the self) รักตัวเอง

ทำให้เราเห็นมิติของความรักอันหลากหลายและลุ่มลึกมากขึ้น ไม่ได้ติดอยู่กับความรักที่เราคุ้นเคยแบบเดียวเท่านั้น และสำหรับหลายคน การส่งเพลงก็เป็นวิธีการอ้อมๆ เพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกดีๆ ที่ไม่เขินเกินไป

(คำเตือน: แน่นอนว่าอย่ามโน บางคนก็ส่งให้ในฐานะเพื่อนร่วมโลกที่อยากแบ่งปันจริงๆ นะ)

ไม่ว่ารักของเราจะเป็นแบบไหน โลกควรมีเพลงที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกความรัก แม้กระทั่งไม่อยากพูดว่ารักก็ทำได้ สำหรับหลายคน ความรักนั้นมีความหมายเกินกว่าจะพูดมันออกมา ให้เพลงพูดแทนแล้วกันแล้วเพลงรักของคุณคือเพลงไหน ... เพลงนั้นมีคำว่ารักไหม?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook