Linkin Park "One More Light" อัลบั้มรีวิว | Sanook Music

Linkin Park "One More Light" อัลบั้มรีวิว

Linkin Park "One More Light" อัลบั้มรีวิว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากที่ได้ปล่อย single ใหม่ออกมา 2 เพลงคือ Heavy และ Battle Symphony เหล่าสาวกวง Nu Metal ขวัญใจวัยโจ๋อย่าง Linkin Park ก็เป็นอันต้องงงเป็นไก่ตาแตก และอุทานออกมาว่า “นี่หรือคือ Linkin Park?”

 

คลิกเพื่อฟัง Linkin Park อัลบั้ม One More Light

สมาชิกวง Linkin Park จากซ้ายไปขวา : Chester Bennington (Vocal), Rob Bourdon (Drum),Joe Hahn (Turntables),Brad Delson(Guitar),Mike Shinoda (Vocal-Guitar-Keyboard) และ Dave Farrell (Bass)

 

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งธรรมดาของโลก การที่วงดนตรีวงใดวงหนึ่งจะผันเปลี่ยนทิศทางการทำเพลงไปต่อให้จะแบบหน้ามือเป็นหลังมืออย่างไรก็ตาม ก็ย่อมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

และในที่สุดตอนนี้ Linkin Park ก็ได้ปล่อยอัลบั้มใหม่ในชื่อ “One More Light” ออกมาให้ฟังกันอย่างเต็มอิ่มครบทุกเพลงทั้งอัลบั้ม

 

 

โดยอัลบั้มนี้มีทั้งหมด 10 เพลง รวมความยาวประมาณ 35 นาที ซึ่งประกอบไปด้วย

Nobody Can Save Me, Good Goodbye, Talking to Myself, Battle Symphony, Invisible, Heavy, Sorry for Now, Halfway Right, One More Light และ Sharp Edges

และวันนี้ What The fact เราก็จะมารีวิวเพลงทั้งอัลบั้มแบบ เพลงต่อเพลงกันเลยทีเดียว

 

Track 1 : Nobody Can Save Me

“But nobody can save me now I’m holding up a light I’m chasing out the darkness inside ‘Cause nobody can save me”

เปิดอัลบั้มกันด้วยเพลงจังหวะกลางๆ สบายๆไม่ช้าไม่เร็ว ฟังสบายสไตล์เพลงป็อป (ซึ่งเป็น genre ของอัลบั้มนี้นั่นเอง) ถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่กำลังต่อสู้กับด้านมืดในจิตใจตน ที่คงไม่มีใครที่จะช่วยเราได้ นอกจากตัวเราที่รู้จักตัวตนของเราเองดีที่สุด

 

Track 2 : Good Goodbye

“ So say goodbye and hit the road Pack it up and disappear You better have some place to go ‘Cause you can’t come back around here Good goodbye”

เพลงนี้ได้ 2 แร็ปเปอร์ Pusha T และ Stormy มาร่วม featuring ด้วย โดยไอเดียของเพลงนี้เริ่มมาจาก ความชื่นชอบในกีฬาบาสเก็ตบอลของ Mike Shinoda ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากช่วงเวลาที่นักกีฬาโดนไล่ออกจากสนาม แต่เชียร์ลีดเดอร์ก็ยังคงร้องเชียร์ต่อไป ในขณะที่คนโดนไล่ต้องเดินคอตก โดยนำไปเปรียบเปรยกับการสิ้นสุดของความสัมพันธ์ เพลงนี้มาพร้อมกับจังหวะที่โยกตัวตามไปได้ เสียงร้องของ Chester Bennington ในท่อน chorus ที่ผสานไปกับท่อนแร็พที่ขับร้องโดย Mike Shinoda และ 2 แร็ปเปอร์ Pusha T และ Stormy ทำให้บทเพลงนี้มีท่วงทำนองที่เร้าใจขึ้นมา

 

Track 3 : Talking to My Self

“The truth is, you turned into someone else You keep running like the sky is falling I can whisper, I can yell But I know, yeah I know, yeah I know I’m just talking to myself”

เพลงนี้ Chester ได้รับแรงบันดาลใจมาจากมุมมองของ Talinda ภรรยาของเขา โดยบอกเล่าเรื่องราวของคู่รักที่เกิดความไม่เข้าใจกัน ซึ่งต่อให้พูดเท่าไหร่ บอกไปเท่าไหร่ ก็เหมือนแค่พูดกับตัวเองเท่านั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย และเราก็ต้องคอยต่อสู้กับปัญหาในจิตใจของเราเพียงลำพัง โดย Chester กล่าวว่า เพลงนี้มีความสัมพันธ์กับความรู้สึกของคนในวงในช่วงเวลาที่เขากำลังต่อสู้กับปัญหาในจิตใจของตัวเอง ส่วนในภาคดนตรีนั้นเพลงนี้น่าจะมีความร็อคที่สุดในอัลบั้มแล้ว ท่อนอินโทรเปิดมาด้วยเสียงกีตาร์ที่เล่นแบบ single line ชวนให้รู้สึกในความเป็นร็อคและโทนของเพลงนี้ช่วยให้นึกถึงงานเพลงของ The Killers

 

Track 4 : Battle Symphony

“I hear my battle symphony All the world in front of me If my armor breaks I’ll fuse it back together”

เพลงนี้เป็น single ที่ 2 ของอัลบั้มนี้ ถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่กำลังต่อสู้กับเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวราวกับบทเพลง Symphony (รู้สึกอัลบั้มนี้จะพูดแต่เรื่องเสียงภายใน การต่อสู้กับความสับสนภายในจิตใจ) แต่ในภาคดนตรีกับมาพร้อมท่วงทำนองแบบเพลงป็อปฟังสบายๆ ไม่ได้หนักหน่วงไปตามเนื้อหาเลย

 

Track 5 : Invisible

“If I cannot break your fall I’ll pick you up right off the ground If you felt invisible, I won’t let you feel that now”

Invisible ถ่ายทอดความรู้สึกที่เรามีต่อคนที่เรารักเมื่อเราทำบางสิ่งบางอย่างให้เขาเสียใจโดยไม่ตั้งใจ เราแค่อยากให้รู้ไว้ว่าเรายังแคร์และใส่ใจเขาเสมอไม่ได้มองไม่เห็นค่าหรือปล่อยให้อยู่นอกสายตานะเออ โดยเพลงนี้แรงบันดาลใจมาจากความรู้สึกของ Mike ที่มีต่อลูกๆที่เมื่อพวกเขาโตขึ้นและเป็นวัยรุ่น คงมีหลายสิ่งที่เราอยากห้ามอยากบอก และถึงแม้ลูกๆของเราจะไม่อยากฟังแต่เราก็จำเป็นต้องทำ และที่ทำก็เพราะว่าเราแคร์ไม่ใช่เพราะอยากทำลายความรู้สึกลูกๆ

 

Track 6 : Heavy

“I’m holding on Why is everything so heavy?”

Heavy เป็น single เปิดตัวของอัลบั้มนี้เลย (เจ้าเพลงนี้แหละที่ทำให้เราเหวอ!) เพลงนี้ได้นักร้องสาว Kiiara มาร่วมขับร้องด้วย ถ่ายทอดเรื่องราวของคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความทุกข์ที่ต้องแบกรับอะไรไว้มากมาย และก็คอยถามตัวเองว่า “ทำไมตรูต้องแบกอะไรพวกนี้ไว้ด้วยฟระ?” และเมื่อได้ถอยหลังและมองย้อนกลับมาจึงได้รู้ว่าทุกปัญหาทั้งหลายมันกองสุมอยู่ที่ใจเรานั่นเอง(สาธุ)

 

Track 7 : Sorry For Now

“Oh I’ll be sorry for now That I couldn’t be around There will be a day That you will understand You will understand”

เป็นเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องของ Mike กับลูกๆ (อีกแล้ว) ที่ต้องรู้สึกหัวร้อนทุกครั้งที่พ่อต้องออกไปทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่ง Mike ก็ต้องไปเพราะมันเป็นหน้าที่เป็นงานที่ต้องทำโดยหวังว่าวันนึงลูกๆจะเข้าใจ

 

Track 8 : Halfway Right

“I know what I want, but it feels like I’m paralyzed I don’t lose, I don’t win, if I’m wrong, then I’m halfway right”

เพลงนี้ Chester ร้องคนเดียวเดี่ยวโดดโดยไม่มี Mike และสมาชิกคนอื่นๆร่วมด้วยเลย เพราะมันต้องการจะสะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ Chester มีต่อภาวะติดยาที่เขาเคยประสบมา

 

Track 9 : One More Light

“Who cares when someone’s time runs out? If a moment is all we are We’re quicker, quicker Who cares if one more light goes out? Well I do”

เพลงชื่อเดียวกันกับชื่ออัลบั้ม โดยเพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายคมคายและเป็นสิ่งที่สมาชิกวงต้องการที่จะถ่ายทอดออกมา เพื่อสื่อว่าความสูญเสียนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดังนั้นเราควรรู้จักที่จะบอกคนที่เรารักว่าเราแคร์พวกเขามากแค่ไหนในวันที่เรายังมีโอกาสที่จะทำมันได้ โทนของเพลงนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากเพลงอื่นๆในอัลบั้ม โดยเพลงนี้มีความบางเบาแต่งดงาม เราจะได้ยินเพียงเสียงร้องที่ขับขานท่ามกลางท่วงทำนองที่บรรเลงโดยกีตาร์และเปียโนโดยไม่มีเสียงของเครื่องให้จังหวะใดๆเลย

 

Track 10 : Sharp Edges

“Sharp edges have consequences, I Guess that I had to find out for myself Sharp edges have consequences, now Every scar is a story I can tell”

เพลงนี้มาพร้อมเสียงกีตาร์ที่บรรเลงแบบ finger picking ให้อารมณ์ของบทเพลงโฟล์คอันไพเราะ เนื้อหาของเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากการรำลึกถึงช่วงเวลาในวัยเด็กของ Chester ที่เขาทั้งดื้อและหัวแข็งไม่ยอมรับฟังคำสั่งสอนและความเป็นห่วงจากแม่ของเขาเลย โดย Chester นึกถึงของมีคมใกล้ตัวอย่างกรรไกรและใช้มันเป็นตัวเปรียบเปรยเนื่องจากเวลาเราเด็กๆพ่อแม่ชอบสอนเราว่าอย่าถือกรรไกรวิ่งนะลูก เดี๋ยวจะโดนเสียบเอาแต่เราก็ดื้อไม่ยอมทำตามนั่นเอง โดยในยามนั้นเรามักจะเชื่อมั่นในตัวเองและเชื่อว่าทุกบาดแผลที่เกิดมันคือเรื่องราวที่เราจะเล่าขานต่อไปในภายภาคหน้า ซึ่งเสียงกีตาร์แบบโฟล์คเข้ากันดีกับบทเพลงที่ถ่ายทอดห้วงอารมณ์ของการย้อนระลึกถึงอดีตอันเป็นการจบอัลบั้มได้อย่างงดงาม

 

อ้างอิง : Genius.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook