"โอ๊ต ปราโมทย์" การไม่เคารพในศิลปะ คือด้านมืดของโลกโซเชี่ยล | Sanook Music

"โอ๊ต ปราโมทย์" การไม่เคารพในศิลปะ คือด้านมืดของโลกโซเชี่ยล

"โอ๊ต ปราโมทย์" การไม่เคารพในศิลปะ คือด้านมืดของโลกโซเชี่ยล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ใครที่ติดตามรายการวิทยุของ EFM หรือรายการวาไรตี้ดังอย่าง Paloy's diary ที่กำลังมาแรงในตอนนี้นั้น จะต้องคุ้นเคยกับบทบาทพิธีกรสุดฮา ของคุณ โอ๊ต ปราโมทย์ กันแน่นอน ซึ่งนอกจากการเป็นพิธีกรแล้ว เขาก็เป็นศิลปินนักร้องที่ทำผลงานมาตลอด 10 ปีด้วย และวันนี้เขาก็มาเยี่ยมทีมงาน Sanook! Music เพื่อเล่าถึงผลงานเพลงใหม่ที่สะท้อนตัวตนอีกมุมของเขากันด้วย โดยการกลับมาครั้งนี้นั้นเขาก็ได้ร่วมงานกับทีมงานใหม่ในสังกัด White music ด้วย 

 

 

คุณโอ๊ต มาร่วมงานกับค่าย White Music ได้อย่างไร

โอ๊ต ปราโมทย์ : ค่าย WE records ที่ผมเคยทำงานก็แยกตัวครับ ก็เหมือนอุจจาระ โดนราดน้ำอะครับ กระจายกันไปคนละทาง เพราะพี่เบียร์ก็ออกจากแกรมมี่  หลายๆคนก็ไปกันคนละค่าย อย่าง Jetset’er ก็มา White Music ผมเองก็คิดว่าควรไปไหนดี จะเลิกร้องเพลงไหม ตอนนั้นก็ได้ขึ้นคอนเสิร์ตนิวจิ๋ว เลยได้คุยกับคุณ กริช โทมัส ว่าจะทำอะไรต่อ และอยากอยู่ค่ายไหน ผมเลยได้คุยกับพี่อาร์ม ผู้ดูแล White Music ว่าขอทำงานด้วยได้ไหม

 

อะไรคือเหตุผลที่คุณโอ๊ตถึงเว้นว่างจากการทำเพลงไปถึงสองปี 

โอ๊ต ปราโมทย์ :  มันเป็นช่วงรอยต่อครับ เป็นช่วงต่อสัญญาที่ทำให้เราลังเลว่าจะทำอะไร ว่าเราควรร้องเพลงต่อหรือไปทำอย่างอื่น

 

เมื่อปีที่แล้วคุณโอ๊ตก็ได้ร่วมร้องเพลงในงาน Whitehaus คอนเสิร์ตด้วย คุณรู้สึกอย่างไรที่ได้ร่วมงานกับเพื่อนๆในค่าย  

โอ๊ต ปราโมทย์ : ช่วงที่ย้ายมาก็เป็นจังหวะที่กำลังจะจัดคอนเสิร์ตพอดี ก็เลยเป็นโอกาสเปิดตัวในค่ายใหม่เลย ว่าเรามาบ้านสีขาวแล้ว การทำงานก็สนุกมาก เพราะมีแต่คนที่สนิททั้ง พี่ลุลา เบล Jetset’er, Getsunova พี่ป๊อป ปองกูล เหมือนทำงานกับเพื่อนอะครับ แต่แค่เปลี่ยนทีมงานใหม่ ซึ่งเราต้องมาฝากเนื้อฝากตัวด้วย

ล่าสุดคุณโอ๊ตก็ได้ทำซิงเกิ้ลเพลง เมื่อวาน ออกมา เพลงนี้มีเนื้อหาอย่างไร

โอ๊ต ปราโมทย์ :  สมัยก่อนที่ผมทำเพลง จะเป็นแนวบวกๆ ที่พูดถึงความรักสวยงาม แต่ก็คุยกับพี่อาร์มว่ากลับมาครั้งนี้อยากทำอะไรที่ต่างไป ให้คนลืมภาพเก่าๆ ให้คนเซอร์ไพรส์ว่าเราร้องเพลงช้าหรือแนวอกหักได้ เพราะเรามีมุมที่ดาร์คแบบลืมคนรักเก่าไม่ได้ เลยแชร์มุมนี้กับพี่อาร์มครับ  พี่อาร์มเลยให้เราเลือกโปรดิวเซอร์ที่อยากทำงาน เลยได้ทำงานกับพี่เอก ผาเรือง และพี่ต้น Bulldog มาทำเพลงนี้ด้วย

 

ได้ยินว่าคุณโอ๊ตอยากร่วมงานกับทีม Bulldog นี้มานานแล้ว ทำไมถึงอยากทำงานกับทีมงานนี้

โอ๊ต ปราโมทย์ :  ผมกับพี่ ต้น Bulldog สนิทมา 5 ปี ตั้งแต่เข้ามาในแกรมมี่  แต่ไม่เคยได้ทำงานด้วยกัน เลย แต่ไม่มีโอกาสได้ทำงานด้วยกันเลย และผมเองก็ชอบการทำงานของพี่เขาไม่ว่าจะเป็นการเรียบเรียงหรือเมโลดี้ที่สวยงาม ส่วนพี่เอก ผาเรือง หรือพี่ เผ่าพันธุ์ อมตะ ที่รู้จักกันดี พี่เขาทำเพลงให้ ดาเอ็นโดรฟิน และ นิวจิ๋ว คิดว่าการทำงานกับพวกเขาคงเหมาะกับเรา เพราะเราก็ไม่ได้เด็กแล้ว ก็อยากให้ทุกคนได้เห็นมุมมองที่เข้มข้นขึ้น

 

นอกจากแชร์เรื่องราวแล้ว คุณโอ๊ตมีส่วนร่วมกับเพลงนี้อย่างไรบ้าง

โอ๊ต ปราโมทย์ : เวลาอยู่ในห้องอัด ผมก็จะทำเบื้องหลังเอง ได้ดูการอัดกีต้าร์และร้อง รวมถึงไลน์คอรัส ก็อยู่กับพี่เขาตลอด ได้แชร์ความคิดต่างๆ

 

เอ็มวีเพลงนี้มีเรื่องราวอย่างไร

โอ๊ต ปราโมทย์ :  ก็จะเป็นเหมือน Inception เป็นความฝันที่มันซ้อนฝันตลอดเวลา เหมือนเวลาผ่านไปนาน แต่เหตุการณ์สูญเสียก็ยังคงวนเวียนอยู่ คือสลัดความรู้สึกออกไปไม่ได้เลย ต้องขอบคุณน้องอ๊อบ ผู้กำกับเอ็มวีนี้ เขาเคยทำเอ็มวีเพลง กำแพง ของแอมมี่ ก็จะมีเนื้อเรื่องที่ซับซ้อน ที่ให้เราคิดตามไปได้ครับ

 

กระแสตอบรับของเพลงนี้เป็นอย่างไรบ้าง

โอ๊ต ปราโมทย์ :  กระแสดีครับ ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยแชร์ในโซเชี่ยล ที่ช่วยไลค์และแชร์ ต้องขอบคุณเพื่อนๆที่แชร์เอ็มวีเราด้วย เพราะคนจะติดภาพเราเป็นพิธีกร ช่วงที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำเพลงเลย มีงานรายการที่ทำกับพลอย และกับพี่เป๊ก คือเราห่างการเป็นนักร้องมานาน ก็กังวลว่าคนจะอยากฟังเพลงเราไหม  คนอาจจะติดภาพเราเป็นพิธีกรและตลกไป ซึ่งมันมีคนที่คิดแบบนี้แล้ว  แต่ก็มีหลายคนแยกได้ว่าการร้องเพลง ก็คืออีกตัวตนที่ เราทิ้งมันไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เรารัก และเราก็ยังคงอยากทำมันตลอดเวลา ก็มีคนมาแซวในโซเชี่ยลเรื่องบทบาทที่เปลี่ยนบ้าง และผมก็เข้าไปตอบ ก็ตลกมาก (หัวเราะ) คือคนไม่คุ้นกับการเห็นเรามาทำหน้าหล่อๆและร้องเพลง  ก็ถ้าใครอยากชมโหมดฮาๆก็ดูรายการ ชอบฟังเพลงก็ไปกดฟังเพลง

 

เนื้อหาเพลง เมื่อวาน ก็เป็นเรื่องจริงของหลายๆคน คุณมีอะไรที่อยากฝากให้กับคนที่เจอเรื่องราวเหมือนในเพลงบ้างไหม

โอ๊ต ปราโมทย์ :  ความรักเป็นสิ่งสวยงามครับ คือก่อนหน้าที่จะมาเจอเรื่องที่เจ็บปวด มันต้องผ่านเรื่องราวมาเยอะมาก ทั้งเรื่องดีๆ ที่เราต้องผ่านมา มันเป็นเรื่องสวยงาม แบบมีชีวิตร่วมกัน มีความทรงจำที่สวยงาม อย่าไปคิดมุมเสียใจอย่างเดียว ให้คิดเรื่องดีๆที่ทำด้วยกัน เพราะถึงมันจะเป็น เมื่อวาน แต่เป็นเมื่อวานที่มีความสุข ให้มันเป็นแรงผลักดันชีวิตต่อไป  เพราะเราต้องมีชีวิตต่อไป คืออาจไม่มีเขาแล้ว ความรู้สึกอาจอยู่กับวันวานก็จริง แต่ก็มีเมื่อวานที่สวยงาม  ชีวิตต้องก้าวต่อไป เพราะมันจะมีสิ่งที่ดีกว่ารออยู่เสมอ อย่าคิดว่าชีวิตจบลงแค่นั้น

คลิกฟังเพลง เมื่อวาน - โอ๊ต ปราโมทย์

 

นอกจากงานเพลงแล้ว คุณโอ๊ตก็เป็นพิธีกรและดีเจด้วย บทบาทนี้ยากไหม เทียบกับการเป็นนักร้อง

โอ๊ต ปราโมทย์ : ไม่ยากครับ เพราะเราทำตั้งแต่เด็ก คือเรามาจากการร้องเพลง แต่เราก็ทำมันมาด้วย คือเรารักการร้องเพลง ในรายการเป็นพิธีกรก็ร้องเพลงด้วย ดังนั้นการร้องเพลง การออกมาเดินสายโปรโมตมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่การร้องเพลงมันก้มีตื่นเต้น เพราะเราหายไปนาน สมัยก่อนบางทีก็เป็นเพลงโปรเจ็คที่ทำกับเพื่อนๆ  เราก็กลัวว่าคนจะไม่ให้การตอบรับเราในฐานะนักร้อง แต่พอมาเดินสายคนก็ยังจำเราในฐานะนักร้อง เพราะหลายคนก็ยังคงรอฟังเพลงของเราอยู่  แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว

 

เวลาที่คุณทำรายการ Paloy’s diary  ที่มาพร้อมมุกตลกฮาๆ อันนั้นเป็นอินเนอร์คุณเลยหรือเปล่า

โอ๊ต ปราโมทย์ : ถ้าพี่อยากรู้จักผมจริงๆ พี่ต้องมาทานเหล้ากับผมครับ (หัวเราะ) เพราะจริงๆผมเป็นคนที่ต่ำตมมาก (หัวเราะ) คืออะไรแบบนี้มันเฟคไม่ได้ ผมเป็นแบบนี้เนื้อแท้ คือเพื่อนๆที่ทำงานด้วยกันจะรู้ว่าผมเป็นแบบนั้นเลย

 

มีงานไหนในวงการบันเทิงที่คุณอยากทำอีกไหม

โอ๊ต ปราโมทย์ : ไม่มีแล้วครับ (หัวเราะ) เพราะปีนี้ทำหมดแล้วทั้งจัดรายการ EFM คือมันยิ่งใหญ่มาก ทำเพลง มีภาพยนตร์สองเรื่อง และมีซีรี่ย์ที่จะทำกับพี่โน้ตอุดมอีก ล่าสุดหนังเรื่อง Oversize ทะลายพุง ที่ผมแสดง ก็จะฉายแล้ว และมีงานพิธีกรต่างๆที่ติดต่อมาเยอะมาก เราทำมาครบแล้วทุกแขนงในวงการบันเทิง ก็ไม่รู้ว่าอยากทำอะไรแล้ว มีอย่างเดียวคืออยากพักบ้าง(หัวเราะ) เพราะ 4-5 เดือนที่ผ่านมาทำงานไม่ได้หยุดเลย ก็อยากจัดเวลาไปเที่ยวทะเล ไปชาร์ทแบตบ้าง เพราะช่วงนี้ทำงานเยอะมาก ทั้งโปรโมตเพลง โปรโมตหนัง จัดรายการทุกอาทิตย์ คืองานเยอะมาก และมีงานกับพลอย และงานรายการท่องเที่ยวกับพี่เป๊กวง ZEAL

ทุกวันนี้ตื่นมาก็ต้องดูว่าเราอยุ่ในโหมดไหน อย่างวันนี้มีงานจ้างร้องเพลง ก็ไปร้องเพลง วันนี้เป็นพิธีกร ก็ต้องเปลี่ยนโหมด ไปเป็นคนสนุก วันนี้ถ่ายหนังก็ต้องเป็นตัวละครไหนหนังเรื่องนั้น แค่เซ็ตจิตของเรา ตามบทต่างๆก็สนุกมากแล้ว  เพราะอย่างเป็นดีเจก็หยาบมากไม่ได้ แต่ในรายการที่ทำกับพลอยก็หยาบได้ เพราะมันเป็นพื้นที่ของเราเอง เวลามาโปรโมตเพลง เราก็ห้ามหยาบคาย เพราะมันไม่ใช่พื้นที่เรา คือต้องปรับตัวเองตามบทบาทต่างๆ

 

 

ช่วงที่ผ่านมาคุณโอ๊ตก็มีชื่อเสียงมากขึ้นในโลกโซเชี่ยล จากการทำรายการ Paloy’s diary นอกจากงานพิธีกรแล้ว คุณคิดว่าโซเชี่ยลมีเดียมีผลกับวงการเพลงไหม

โอ๊ต ปราโมทย์ : มีแน่นอนครับ จริงๆมันเป็นทุกวงการเลย เพราะผมเองจำไม่ได้เลยว่าดูทีวีครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ คือไม่ได้ดู ฟรีทีวีเลย ตื่นมาก็จับมือถือเลย ทุกวันนี้ในไลน์มีอยู่ 70 กรุ๊ป ที่ตอบแทบจะไม่ทันละ พอไม่คุยเพื่อนก็หาว่าห่างเหินอีก (หัวเราะ) เวลาแชร์เพลงหรือสิ่งที่ทำก็ทำผ่านสมาร์ทโฟนหมดแล้ว คือขนาดผมอายุ 30 ก็ไม่ดูทีวีแล้ว ยิ่งเด็กสมัยนี้คือยิ่งห่างไปแน่นอน ตอนนี้คนเราออนไลน์ตลอดเวลา ใครไม่ออนไลน์ถือว่าตกเทรนด์ คือทุกคนเป็นสื่อได้และสามารถแชร์สิ่งที่ชอบได้ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่มันก็เป็นดาบสองคม เพราะในโลกนี้มีคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์และคนที่ไม่มี เราอาจจะเป็นผู้ร้ายข้ามคืนได้ ถ้าพูดสิ่งที่ไม่สมควร บางทีสิ่งที่ทำเมื่อสองปีที่แล้ว ก็อาจกลับมาทำร้าย เราได้ถ้าวันนี้เรากลายเป็นคนมีชื่อเสียง

 

คุณโอ๊ตเองก็เป็นศิลปินที่อยู่วงการเพลงมานาน จากยุคซีดีมาเป็นดิจิตอล คิดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ มีผลกับการทำงานคุณไหม

โอ๊ต ปราโมทย์ : มีครับ คือมันสะดวกมากขึ้น เพราะเราไม่ต้องพกซีดี พกเป้ใส่เทป 10 เทป เพื่อฟังเพลงจากศิลปิน 10 คน แต่ความสบายนั้นมันต้องแลกด้วยยอดขายที่ตกลง และสามัญสำนึกในการเคารพศิลปะ เพราะดนตรีก็เป็นศิลปะแขนงนึง คือตอนนี้สิ่งที่ละเอียดอ่อนคือคนไม่เคารพศิลปิน เราอยู่กับของฟรีมาตลอดชีวิต แชร์เพลงจาก YouTube เวลาอยากได้รูปแล้วไม่มีเงิน ก็จะ Copy และปริ้นแปะบ้าน เขาไม่ได้ซัพพอร์ทศิลปินที่เขาชอบ ตอนนี้ในประเทศไทยเม็ดเงินจากศิลปะมันน้อยมาก เพราะคนมันไม่จ่าย คือถ้าวันหนึ่งระบบนี้มันพัง  ศิลปะจะไม่มีให้เสพเลย เพราะงานศิลปะต่างๆ การ์ตูนที่คนไทยทำ คนไม่เสพกัน คนก็จะไปจ่ายเงินกับศิลปะต่างประเทศแทน

สื่งที่แย่อีกอย่างคือเราไม่สามารถพูดได้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด เพราะเราจะโดนด่า แบบร้านกาแฟเปิดเพลงในยูทูปแล้วไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ ถ้าเราไปว่าเขา คนก็จะต่อว่ากลับมา ว่าผมเปิดเพลงโปรโมตให้พี่แล้ว  พี่จะมาเก็บผมทำไม มันเป็นอะไรที่ย้อนแย้งกัน  เพราะเขาบอกว่าคนเข้ามาในร้านก็ได้ฟังเพลงพี่เป็นร้อยเป็นพัน แต่คนที่เข้ามาในร้าน ก็ไม่ได้จ่ายเงินให้ผม ไม่ได้จ่ายค่าโปรดัคชั่นและการคิดงานต่างๆ ที่ผมทำ ทุกอย่างมันมีต้นทุน อย่างยอดวิวในยูทูปอาจจะเป็นล้านวิว แต่เม็ดเงินที่กลับเข้ามามันน้อยมาก อย่างขึ้นอันดับ 1 ใน ไอจูน บางทีเงินกลับเข้ามาแค่หลักพัน คือศิลปินก็ต้องกินต้องใช้ สำหรับผมนะ จริงอยู่ว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แต่ปลานั้นบางทีเราก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร คือเราต้องเคารพซึ่งกันและกัน

คือคุณชอบงานผม ไม่ซื้อไม่เป็นไร แต่ถ้าชอบก็แชร์ แต่ถ้ามันถึงจุดที่คุณเปิดร้านได้กำไรจากการขายของ และเปิดเพลง แล้วลิขสิทธิ์ไปเก็บ มันไม่ได้เป็นการขูดรีด แต่มันเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่หล่อเลี้ยงศิลปิน ค่ายเพลงเดี๋ยวนี้อยู่ยาก รายได้จากเพลงมันอยู่ไม่ได้แล้ว ศิลปินส่วนใหญ่จะได้รายได้จากงานโชว์ แต่ศิลปินบางคนที่โชว์ไม่สนุก เขาก็อยู่ไม่ได้ แบบคนจ้างก็มองว่าเขาไม่ได้เรื่อง ก็ไม่มีงานเลย

ถ้าอยากให้ประเทศเราพัฒนาในสายตาชาวต่างชาติ งานศิลปะมันต้องพัฒนาตามไปด้วย ตรรกะการใช้ชีวิตต้องเปลี่ยน เพราะขนาดทุกวันนี้มอไซค์ยังวิ่งบนทางเท้าแล้วคนที่เดินก็ต้องหลบ ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิด และแถมโดนด่าอีก เงินมันซื้อเพลงหรือซื้อซีดี มันหลักสิบบาท มันไม่ทำให้เรารวย ต่อให้ซื้อเป็นสิบคน แต่มันแสดงว่าคนรับผิดชอบและเคารพศิลปิน ถ้าคุณยังอยากเดินออกไปแล้วฟังเพลงใหม่ๆ เห็นรูปปั้น ปฎิมากรรมสวยๆ คุณก็ต้องอุดหนุนเขา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

คลิกฟังเพลงทั้งหมดของ โอ๊ต ปราโมทย์ ได้ที่นี่

ถึงแม้ว่าจะห่างหายไปจากวงการเพลงถึงสองปี แต่การกลับมาครั้งนี้คุณโอ๊ตก็มาพร้อมผลงานใหม่ที่เขาตั้งใจมาก เพราะเพลงคือสิ่งที่พาเขาเข้ามาในวงการและเป็นสิ่งที่เขารักมาตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งใครที่ชื่นชอบเพลง เมื่อวาน นั้น สามารถฟังได้ที่ JOOX และ Sanook! Music และสามารถติดตามคุณโอ๊ตและศิลปินในค่าย White Music ได้ที่เฟสบุ๊คของทางค่ายได้เช่นกันครับ 

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ "โอ๊ต ปราโมทย์" การไม่เคารพในศิลปะ คือด้านมืดของโลกโซเชี่ยล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook