"บี้ สุกฤษฎิ์" เมื่อ "ชีวิต ต้องแลกด้วย "ชีวิต" | Sanook Music

"บี้ สุกฤษฎิ์" เมื่อ "ชีวิต ต้องแลกด้วย "ชีวิต"

"บี้ สุกฤษฎิ์" เมื่อ "ชีวิต ต้องแลกด้วย "ชีวิต"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นับจากหนุ่มเหนือ “บี้-สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว ก้าวเท้าออกจากเวทีประกวดเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปี 3 ด้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 และฉายาเจ้าจิ้งจกน้อย ความน่ารัก ขี้เล่น เฉพาะตัวของเขากลายเป็นแรงผลักดันให้เขาเดินทางไปได้ไกลกว่าศิลปินคนอื่นที่มาจากเวทีประกวดเดียวกัน

จากนั้นไม่นานงานในวงการบันเทิงทั้งละคร เพลง ภาพยนตร์หรือแม้แต่ละครเวทีก็ถาโถมเหมือนท้าทายเพื่อพิสูจน์ความสามารถ แต่เมื่อดาวก็คือดาว บี้ สุกฤษฎิ์ ผ่านบททดสอบเหล่านั้นโดยมีรางวัลทั้งในประเทศและต่างประเทศการันตี แสงเจิดจ้าฉายส่องจนอาจกล่าวได้ว่าเขาน่าจะเป็นศิลปินเพียงคนเดียวในบ้านเราที่กำลังเดินไปสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์เมืองไทยเช่นเดียวกับ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์

จากวันนั้นถึงวันนี้ครบ 10 ปีพอดี สำหรับบี้เป็นเวลา 10 ปีที่เปิดโลกและเปลี่ยนชีวิตของเขาไปจนหมดสิ้น Sanook! Music กับบทสัมภาษณ์ซูเปอร์สตาร์ตัวจริง บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว

อยู่ในวงการบันเทิงมา 10 ปี คุณคิดว่าได้อะไรจากวงการนี้

วงการนี้ให้อะไรกับผมหลายอย่าง แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือประสบการณ์ชีวิต เพราะผมจบวิศวะมาประสบการณ์ชีวิตผมน้อยเจอแค่พ่อแม่ เพื่อน แล้วก็เรียน ไม่ได้ไปไหน พอเข้าวงการเหมือนเปิดอีกโลกนึงเลย จากโลกของหลักการและเหตุผล กลายเป็นโลกของอารมณ์ความรู้สึก แล้วเราก็ได้เห็นประสบการณ์ชีวิตนั้นจากจอโทรทัศน์ จากเบื้องหลังมากมายมีทั้งดีและไม่ดี ได้เรียนรู้โดยที่เราไม่ต้องเจอด้วยตัวเอง บางครั้งได้เรียนรู้จากนักแสดงคนอื่น ผู้หลักผู้ใหญ่ ด้วยประสบการณ์ที่เรามองเห็น คนนี้มีลักษณะนิสัยยังไง ประสบการณ์ชีวิตเค้าเป็นแบบไหน

ที่ผ่านมาคุณได้ทำงานกับคนเก่งๆ มากมายเช่นคุณบอย ถกลเกียรติ คุณได้เรียนรู้อะไรจากเขาบ้าง

ผมได้เรียนรู้จากคุณบอยค่อนข้างเยอะ เค้าเป็นคนที่มีไฟในตัวตลอดเวลา บางคนที่มีความฝันบางครั้งคนนั้นคนนี้มาพูดเพื่อทำลายความฝัน ไฟก็จะดับเหมือนเป่าเทียนดับ แต่ของพี่บอยเค้าเหมือนเป็นคบเพลิงดวงใหญ่ๆ ความฝันเค้าใหญ่มาก ใครมาพูดจาทำลายความฝันเค้าไม่ได้ เค้ามั่นใจว่าความฝันเค้าต้องเป็นจริงได้ อย่างคุณบอยฝันว่าจะทำช่องทีวี เค้าก็ทำได้แล้ว สิ่งที่ชัดคือเค้ามีความมั่นใจ แล้วลงมือทำ ฝันเค้าใหญ่มาก มีแรงในการทำงานทุกๆวัน

การมีชื่อเสียงสำหรับตัวเรา คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า

ผมไม่รู้คนอื่นมองว่ามันเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า แต่สำหรับผมคิดว่ามันมาพร้อมกับการทำงาน ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่ได้ยินดีกับมันมากสักเท่าไหร่ในเรื่องชื่อเสียง อยากที่จะใช้ชีวิตแบบสบายๆ เพราะเราก็มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง (หัวเราะ) แต่เราก็ต้องยอมรับ เพราะมันมาจากการที่เราเป็นนักร้อง เราไม่รู้ว่าเบื้องหลังมันจะตามมาด้วยอะไร แต่ว่าเราแค่อยากเป็นนักร้องเท่านั้น แต่พอเป็นนักร้องปุ๊บ! สิ่งที่ตามมาคือชื่อเสียง มันก็สนุกดีนะ สักพักสิ่งที่ตามมามีทั้งข่าวดี ข่าวเสีย หลายๆ อย่าง เราก็ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้แล้วกันว่า ความมีชื่อเสียง ไม่ได้ดีสำหรับเรา และไม่ได้แย่สำหรับเรา (ยิ้ม)

ระยะหลัง ผลงานต่างๆ ของคุณไม่เปรี้ยงเท่าที่ควร สำหรับคุณแล้วรู้สึกว่าเป็นช่วงขาลงของตัวเองหรือเปล่า

ถามว่าช่วงขาลงไหม ไม่ใช่ เราต้องบอกว่าโลกเปลี่ยน มันเป็นช่วงที่พวกเราที่อยู่ในวงการบันเทิงมานานแล้ว พวกเราไม่ได้ผิดแต่โลกมันเปลี่ยน มันมีงานใหม่  ไม่ว่าจะเป็นผู้คน หรืองานศิลปะใหม่ๆ ที่ให้เสพเยอะขึ้น ทางเลือกเริ่มเยอะขึ้น เทคโนโลยีในการทำเพลงเริ่มเยอะขึ้น ทำได้ง่ายขึ้น ทำหนังทำละครง่ายขึ้น มี Youtube ให้ทุกคนมาแจ้งเกิดโลดแล่นในวงการบันเทิงง่ายขึ้น มีเว็บไซต์ให้คนได้ออกสิทธิ์ออกเสียงง่ายขึ้น มี Facebook สร้างคนให้มีชื่อเสียงมีตัวตนในวงการบันเทิงง่ายขึ้น ตรงนี้ทำให้คนสามารถเลือกเสพอะไรได้เยอะขึ้น ฉะนั้นจะบอกว่าขาลงมันตอบไม่ได้ เรายังอยู่ในวงการบันเทิง เรายังทำงานเต็มที่ เพียงแต่ว่าโลกมันเปลี่ยนไปเร็ว ทำให้มีตัวเลือกมากขึ้นเท่านั้นเอง

ทุกคนพยายามผลักดันให้คุณเป็นซูเปอร์สตาร์เทียบเท่าพี่เบิร์ด สำหรับคุณรู้สึกอย่างไร

เรื่องผลักดันเราก็ปฏิเสธไม่ได้ ต้องขอบคุณที่มองเห็นว่าเรามีศักยภาพ แต่ถ้าถามใจผม เราแค่ชอบร้องเพลง อยากให้ความสนุกกับคนดูด้วยการร้องเพลง เรื่องเทคนิคการร้อง ลีลา เราเทียบพี่เบิร์ดไม่ได้หรอก พี่เบิร์ดทั้งลีลาการร้อง การเต้น การแสดงเค้าสูงส่ง เราเทียบเค้าไม่ได้หรอก ประสบการณ์พี่เค้าเยอะ เราแค่อยากทำอะไรก็ได้ให้เรามีความสุข ไม่ให้ใครเดือดร้อนและให้คนที่มาดูเรามีความสุขด้วย นี่คือจุดประสงค์ของเราเท่านั้น ส่วนชื่อเสียงหรือยศต่างๆ ที่คนดูมอบให้นั้นก็ต้องขอบคุณครับ

ตั้งแต่ก่อนเข้าวงการจนถึงปัจจุบัน คุณรู้สึกว่าทัศนคติหรือมุมมองต่อเรื่องต่างๆ ของตัวเองเปลี่ยนไปไหม

ปกติคนเราจะเปลี่ยนทุกๆ 3 – 5 ปีใช่ไหม ทัศนคติของคนก็เปลี่ยนไปตามช่วงอายุ แต่ของเราจะเปลี่ยนเร็วกว่าเพื่อนๆ นิดนึง เพราะมาเจอคนในวงการ ได้เห็นหลากหลาย คนนั้นเป็นแบบนั้น คนนี้เป็นแบบนี้ พอได้เล่นละครทำความเข้าใจตัวละครตั้งแต่รากฐานจนถึงปัจจุบันว่าตัวละครตัวนั้นต้องเล่นเป็นยังไง ในบ้างครั้งก็ต้องทำความเข้าใจตัวละครตัวอื่นๆ  จึงทำให้การมองเห็นคน มองเห็นโลกและทัศนคติเปลี่ยนไปเร็วกว่าเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน ก็เป็นไปตามช่วงอายุ แล้วแต่ว่าเราไปเจออะไรมาบ้าง รูปลักษณ์ภายนอกก็เปลี่ยนแก่ขึ้น (หัวเราะ)

ตอนนี้สำหรับคุณถือว่าคุณอยู่ในตำแหน่งที่สูง คุณรู้สึกกดดันไหม อย่างที่เค้าว่ากันว่า “ยิ่งสูง ยิ่งหนาว”

ตอนเข้ามาสัก 3 ปีแรก เราไปเร็วจนเรารู้สึกกดดัน กดดันว่าคนจ้องว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ รู้สึกกดดันมากๆ จนลืมเรื่องความสุขในการเข้ามาในวงการบันเทิง ให้ความสุขกับเพลง ให้ความสุขกับแฟนเพลง แล้วเค้ามีความสุขกลับมา เราลืมตรงนี้ไป พอคิดได้ปุ๊บ เลิกกดดันเลย การที่จะอยู่บนเวทีแล้วเป็นคนที่เพอร์เฟคทุกอย่างมันเป็นแค่จินตนาการทั้งนั้น จริงๆ แล้วความเป็นศิลปะคือความสุขบนเวที จะร้องผิดบ้างร้องเพี้ยนบ้าง กลิ้งตก ล้ม มันก็เป็นธรรมชาติ ฉะนั้นความกดดัน ความไม่เพอร์เฟคทิ้งไปเลย เอาความสุขครับ (ยิ้ม)

ในตำแหน่งที่คุณยืนอยู่ การคิดเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ มันยากแค่ไหน

ยาก เพราะว่าเวลาของเรามี 24 ชม.เท่ากัน แต่ว่าเราให้เวลากับงานซะเยอะ เวลาให้ตัวเองก็น้อยลง เวลาที่อยู่กับครอบครัวก็น้อยลง กับเพื่อนก็น้อยลง อ้าว! เรื่องความรัก เรื่องแฟน ยิ่งน้อยลงเข้าไปใหญ่ นี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำหรับตัวผม การคบใคร พอเป็นข่าวอยู่ได้ไม่ยืนยาวบ้าง คนนั้นคนนี้มีคนใหม่ มันก็เป็นช่วงชีวิตหนึ่ง เรื่องความรักเลยเหลือน้อย ฉะนั้นความรักสำหรับผมก็เป็นเรื่องลำบากที่จะมีแบบยั่งยืน บางครั้งอาจจะมาแบบฉาบฉวย

เด็กรุ่นใหม่ที่อยากเข้าวงการ มักมองคุณเป็นไอดอล ถ้าเขาคิดจะเดินและทำตามคุณ คุณอยากให้เขาลอกเลียนเรื่องอะไรจากตัวคุณ

ผมอยากให้เค้าลอกเลียนด้านความมีวินัย และการจุดประกายในตัวเอง หลายๆคนชอบคิดว่าทำไม่ได้ สิ่งไหนที่ทำไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นนักร้อง หมอ ตำรวจ อาชีพอะไรต่าง ๆ เขาจะคิดว่าทำไมได้หรอกจุดนั้นมันไกล แล้วดับฝันของตัวเองตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น ถ้าเกิดผมดับฝันตัวเองตั้งแต่ต้น ป่านนี้ผมคงไปอยู่ที่ไหนสักที่นึง ผมเข้ามาตอนแรกทำไม่ได้เลยร้องก็ไม่ได้ เต้นก็ไม่ได้ การแสดงเอ็นเตอร์เทนก็ไม่ได้ ได้แต่ยิ้มๆ ขายความน่ารัก หลังจากนั้นเราก็เริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ เรียนเต้น เรียนร้อง เรียนการแสดง ศึกษาต่างๆ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังจนก้าวหน้ามาได้จนถึงทุกวันนี้ เราไม่ได้ภูมิใจในตัวเองที่เรามาถึงจุดนี้ได้ แต่เฮ้ย! เราภูมิใจที่เราได้จุดประกายความฝันให้เด็กๆ รู้ว่าในเมื่อคุณมีจินตนาการแล้วขอให้ทำตามนั้นอย่าไปดับฝัน ฉะนั้นผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มจินตนาการของพวกเขา พี่บี้ทำได้ เราก็ต้องทำได้

การเป็นคนของประชาชน สิ่งที่คุณได้รับทั้งหมด คุณต้องแลกอะไรไปบ้าง

มันก็เหมือนกับการเอาชีวิตไปแลก อย่างการเป็นนักข่าว เป็นคนทำเว็บไซต์ทำงานเสร็จเลิกกลับบ้านเป็นตัวของตัวเองได้ หรือออกจากออฟฟิศไปเดินเล่นเป็นตัวของตัวเองได้ แต่ผมเลิกงานแล้วออกไปเดินข้างนอกมันก็เหมือนกับทำงาน ออกไปเดินปุ๊บ!นั่นพี่บี้นี่นา ขอถ่ายรูปหน่อยซิ เราจึงเหมือนทำงานตลอด 24 ชม. แต่งตัวก็ต้องดูดี จะไม่แต่งหน้าทำผมเลย ใส่กางเกงขาสั้นขอบตาคล้ำ เจอผู้คนเข้าไป นั่น! พี่บี้นี่นา ไม่เหมือนในทีวีเลย ไม่ชอบละ ชีวิตของคนในวงการบันเทิงก็เหมือนการเอาชีวิตเข้าไปแลกเลย ถามว่าศูนย์เสียอะไร ก็ชีวิตของตัวเองทั้งชีวิต

การมาถึงจุดนี้ได้ คุณรู้สึกว่าการสร้างภาพลักษณ์มีความจำเป็นไหม

ถ้าเป็นภาพลักษณ์ที่ขยายออกมาจากตัวตนที่แท้จริงของเราให้ดูเด่นชัดขึ้นมันก็จำเป็น แต่ถ้าภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเสแสร้งเพราะอยากให้สังคมรู้ว่าตัวเราเป็นแบบนั้น ทั้งที่ไม่ใช่นอกจากจะไม่จำเป็นแล้วยังเข้าข่ายหลอกลวงอีกครับ

ในช่วงเวลานี้สิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุดคือเรื่องอะไร

ผมนึกถึงปัจจุบันสำคัญที่สุด ผมเคยบวชมาแล้ว 2 ครั้ง เวลาคิดอะไรจะคิดแบบพระพุทธศาสนานิดนึง (ยิ้ม) เพราะเราบวชแล้วเลยรู้สึกว่าพระพุทธศาสนานั้นสำคัญ  เวลาคิดอะไรก็จะเชื่อมโยง ถามว่าให้ความสำคัญอะไรที่สุดก็คือปัจจุบันนี่แหล่ะ ไม่รู้ว่าเราจะอยู่ได้นานแค่ไหน ไม่ได้แช่งตัวเองนะ แต่เป็นเรื่องจริง เราเห็นคนรอบๆ ตัวเราล้มหายตายจากไป อ้าวยังไม่แก่เลย โลงศพไม่ได้มีไว้ใส่คนแก่นี่นา เด็กก็ใส่ได้ (หัวเราะ) ฉะนั้นเมื่อชีวิตของเรายังครบ 32 ก็ทำทุกๆ วันให้มันดีที่สุด เราจะได้ไม่เสียดาย

ในฐานะรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จจากเวทีประกวดเดอะสตาร์ แต่ระยะหลัง รู้สึกว่าศิลปินจากเวทีนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ส่วนตัวคุณคิดว่าเป็นเพราะอะไร

ผมว่ามันเป็นเรื่องของไซเคิลในวงจรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟชั่น เรื่องเพลง ดีไซต์การตกแต่งร้าน ข้าวของ โดยประมาณ 10 ปี มันก็จะหมดรอบของมัน แล้วเดอะสตาร์ก็ 12 ปี แล้ว การที่เราทำรูปแบบเดิมซ้ำๆ กรรมการชุดเดิม โจทย์เพลงเดิมๆ โลกมันเป็นไป ความคิดคนเปลี่ยนไป เราทำอะไรซ้ำๆ ไม่ได้แล้วเราต้องเปลี่ยน เปลี่ยนกรรมการ เปลี่ยนรูปแบบใหม่  เปลี่ยนโจทย์การร้องเพลง ในปีนี้เรทติ้งก็ค่อนข้างดี แต่เราก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เราทำซ้ำๆ ทำให้เราตะหนักว่าเราต้องเปลี่ยนทุกอย่าง พอเปลี่ยนกระแสตอบรับก็ดีขึ้น

เคยคิดสักนิดนึงไหมว่าจุดที่คุณยืนอยู่มันคือโลกมายา

คิดตลอดครับ อย่าว่าแต่วงการนี้เป็นโลกมายาเลย ในการใช้ชีวิตของคนปกติก็เป็นโลกมายาเช่นกัน บางคนในกลุ่มเพื่อนยังเจอ ฉันเจอเธอ เมื่อวานไปทำอะไรมาบ้าง เมื่อวานไปกินข้าวกับเพื่อน เพื่อนที่ไหน แฟนแก อ่ะ! ก็เจอมายา กลับบ้านไปเจอพ่อแม่ อ้าวลูกลำบากไหม พ่อแม่ให้เงินไปอย่างงั้นอย่างงี้  จริงๆ แล้วพ่อแม่ไม่มีเงินพยายามทำงานหาเงินให้ลูก แล้วบอกลูกว่าบ้านร่ำรวยนี่ก็เป็นหนึ่งอย่างของความมายา มายาของความเมตตา  มายาของความอิจฉา ซึ่งมันมีมายาในหลายรูปแบบ ละครก็เอามาจากชีวิตจริงที่เลือกหยิบมายาที่โดดเด่น จะบอกว่าคนวงการบันเทิงคือโลกมายา แต่ก็อย่าลืมว่าคนปกติก็โดนมายาครอบงำเหมือนกัน

ถ้าจะบอกกับเด็กรุ่นใหม่ที่จะเดินเข้ามาในวงการบันเทิง คุณอยากบอกอะไรกับพวกเค้า ขอ 3 คำ

3 คำเองเหรอ (หัวเราะ)  มัน  หนัก  มาก

10 ปีที่เรารู้จัก บี้-สุกฤษฎิ์ นี่คือตัวตนจริงๆ ของคุณที่คนทั่วไปจะสามารถสัมผัสได้แม้คุณจะออกจากวงการไปแล้วหรือเปล่า

ใช่ครับตัวตนผมเป็นแบบนี้ เห็นในทีวีแบบไหน ตัวตนผมก็เป็นแบบนี้แหล่ะ เพราะว่าการสร้างรูปลักษณ์แบบต่างๆ เราไม่ถนัด ถ้าเกิดว่าผมเป็นคนสร้างภาพลักษณ์มันสร้างได้ไม่นาน สุดท้ายเราก็ทนไม่ไหว ก็จะเกิดจุดเปลี่ยน เผลอๆ โดนด่าอีก เป็นตัวของตัวเอง เพียงแต่ว่าอันไหนที่มันไม่ดีไม่งามไปทำโดยไม่ต้องออกสื่อหรอก ไปทำที่ลับๆ เพียงคนที่รู้จักเพียงไม่กี่คน เล่าเรื่องดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เช่น ไปเล่าว่าฉันเป็นแบดบอยอย่างไร  แต่เราเลือกที่จะแสดงออกและเผยแพร่สิ่งที่ดีงามจะดีกว่า

ซูเปอร์สตาร์เป็นคำต่อท้าย บี้-สุกฤษฎิ์ สำหรับคุณจะอธิบายคำๆ นี้ว่าอย่างไร

สำหรับผมคนๆ นั้นต้องเก่งจริงๆ ได้รับการยอมรับจากสังคม และข้อสุดท้ายคือระยะเวลา ไม่ใช่เข้ามาได้ ปีนึง คนก็บอกเป็นซูเปอร์สตาร์ ก็แล้วแต่มุมมองเค้า แต่มุมมองของเราดูจากระยะเวลาด้วย อย่างเช่น พี่เบิร์ด มีครบ ระยะเวลา การยอมรับทางสังคม ประสบการณ์ อยู่มาได้อย่างยาวนานเหมาะสมที่จะเป็นซูเปอร์สตาร์ หรือ พี่นก สินจัย คือนิยามแบบนี้ คือคำว่าซูเปอร์สตาร์สำหรับเรา

อ่านบทสัมภาษณ์จบแล้วก็เข้าใจในทันทีว่าทำไม บี้ สุกฤษฎิ์ จึงมีแฟนคลับมากมาย ทำไมเขาถึงเป็นศิลปินที่ได้รับรางวัลขวัญใจมหาชนจากไนน์เอ็นเตอร์เทน อวอร์ดส์ เป็นเวลาถึง 5 ปีซ้อน นั่นเป็นเพราะเขายอมแลกทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเวลาส่วนตัว ความพึงพอใจบางอย่าง และแม้กระทั่งความรัก อันจะนำมาซึ่งเป้าหมายอันสูงสุดของเขานั่นคือความสุข และความบันเทิงของผู้ชม ที่เขามองว่าคุ้มเกินคุ้ม

ชมคลิปสัมภาษณ์ บี้ สุกฤษฎ์ วิเศษแก้ว 10 ปีที่เรียนรู้

ขอบคุณร้าน Salt//Pepper เอื้อเฟื้อสถานที่

ชั้น 7 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิลด์

อัลบั้มภาพ 25 ภาพ

อัลบั้มภาพ 25 ภาพ ของ "บี้ สุกฤษฎิ์" เมื่อ "ชีวิต ต้องแลกด้วย "ชีวิต"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook